“วัฒนา”พบอัยการเตรียม 2 ล้านประกันคดีบ้านเอื้ออาทร

2018-05-09 10:45:57

“วัฒนา”พบอัยการเตรียม 2 ล้านประกันคดีบ้านเอื้ออาทร

Advertisement

“วัฒนา”มาตามนัดอัยกาคดีบ้านเอื้ออาทร ก่อนนำตัวส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าตัวยืนยันไม่หนี พร้อมเตรียมหลักทรัพย์ 2 ล้านประกันตัว




จากกรณีอัยการสำนักงานปราบปรามการทุจริต นัดหมายให้นายวัฒนา เมืองสุข อายุ 60 ปี อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สมัยรัฐบาลทักษิณ 2 มารับทราบคำสั่งฟ้องในวันที่ 9 พ.ค. เวลา 09.00 น. และเตรียมนำตัวยื่นฟ้องคดีทุจริตในการอนุมัติโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น





ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันที่ 9 พ.ค. นายวัฒนา ได้เดินทางเข้าพบอัยการตามนัดหมาย กรณีทุจริตในการอนุมัติโครงการบ้านเอื้ออาทร ตามความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ 3 ข้อหา คือ 1.จัดทำทีโออาร์ใหม่เอื้อประโยชน์เอกชน 2.มีการเรียกรับประโยชน์ และ 3.มีการรับประโยชน์ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 2,500 ล้านบาท โดยคดีนี้มีการกระทำความผิดในสมัยที่นายวัฒนาเป็น รมว.พม.ในปี 2548 จากนั้นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือ(คตส.)ได้ตรวจสอบพบว่ามีการทุจริตจึงส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีอาญา ในวันที่ 30 มิ.ย. 2551 แต่ทางอัยการเห็นว่าสำนวนยังไม่สมบูรณ์จึงต้องตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง คตส.กับอัยการ แต่ยังไม่ทันได้ข้อยุติ คตส.ก็หมดวาระไปก่อน ทางอัยการสูงสุดจึงส่งเรื่องกลับไปให้ ป.ป.ช.พิจารณาต่อ แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากอัยการยังเห็นว่าสำนวนมีข้อไม่สมบูรณ์ จึงต้องตั้งคณะทำงานร่วมอีกครั้งระหว่างอัยการกับ ป.ป.ช.ใช้เวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งก่อนที่อัยการจะนำตัวนายวัฒนาส่งฟ้องในวันนี้ นายวัฒนาได้เตรียมหลักทรัพย์ 2 ล้านบาท เพื่อขอประกันตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว



นายวัฒนา กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าในวันนี้จะได้รับการประกันตัวหรือไม่ แต่เตรียมหลักทรัพย์ไว้ 2 ล้านบาทตามที่ศาลเคยประเมินไว้ในคดีอื่น ในการประกันตัว เชื่อว่าคดีนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เพื่อทำลายในทางการเมืองและคดีนี้ก็เกิดหลังรัฐประหารปี 2549 เป็นการตั้งคดีเพี่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจ โดยคดีค้างอยู่เป็นเวลานานแล้ว ถือเป็นเรื่องดีที่มีการส่งฟ้องจะได้ข้อยุติ ทั้งนี้ตนไม่เชื่อถือต่อกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นทั้งการทำงานของป.ป.ช.และอัยการ แต่ยังหวังพึ่งการพิจารณาของศาลฎีกาฯซื่งตนจะสู้คดีจนถึงที่สุด ไม่หนีคดี เพราะคดีนี้ไม่ได้มีความซับซ้อน สามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น เช่น ข้อกล่าวที่ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์กลางที่ประชุมก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ากำหนดทีโออาร์เอื้อประโยชน์แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีใด ๆ กับผู้ว่าการเคหะแห่งชาติ และบอร์ดการเคหะแห่งชาติที่เป็นผู้ปฏิบัติ กลับดำเนินคดีกับตนเพียงแค่คนเดียว อีกทั้งประชาชนมีความต้องการโครงการนี้ และโครงการนี้ก็ขายหมด รัฐไม่มีความเสียหายใด ๆ