เปิดเรื่องย่อ THE WILD ROBOT หุ่นยนต์ผจญภัยในป่ากว้าง

2024-08-25 10:00:14

เปิดเรื่องย่อ THE WILD ROBOT หุ่นยนต์ผจญภัยในป่ากว้าง

Advertisement

เปิดเรื่องย่อ THE WILD ROBOT หุ่นยนต์ผจญภัยในป่ากว้าง



ผลงานจากดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน ภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ดัดแปลงจากผลงานวรรณกรรมที่โด่งดัง "The Wild Robot" หนังสือขายดีอันดับหนึ่งในนิวยอร์กไทมส์ที่ได้รับรางวัลมากมายจากนักเขียนชื่อดัง ปีเตอร์ บราวน์ (PETER BROWN)






การผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่และการเดินทางของหุ่นยนต์ ROZZUM รุ่น 7134 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "รอซ" ซึ่งเรืออับปางและติดอยู่บนเกาะร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ รอซต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ค่อย ๆ สร้างความสัมพันธ์กับสัตว์บนเกาะ และกลายเป็นแม่บุญธรรมของลูกห่านกำพร้าตัวหนึ่ง





The Wild Robot นำแสดงโดยนักแสดงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ลูพิตา นยองโง (Us, แฟรนไชส์ The Black Panther) ในบทหุ่นยนต์ รอซ, นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำ เปโดร ปาสคาล (The Last of Us, The Mandalorian) ในบทสุนัขจิ้งจอก ฟิงค์, นักแสดงรางวัลเอ็มมี แคทเธอรีน โอ’ ฮารา (Schitt’s Creek, Best in Show) ในบทตัวพอสซัม พิงค์เทล, นักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ บิล ไนฮีย์ (Living, Love Actually) ในบทห่าน ลองเน็ค, นักแสดงรางวัลเอ็มมี คิท คอนเนอร์ (Heartstopper, Rocketman) ในบทลูกห่านน้อย ไบรท์บิลและนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ สเตฟานีย์ ซู (Everything Everywhere All at Once, The Fall Guy) ในบทวอนทร้า หุ่นยนต์ที่จะมาแทรกแซงชีวิตบนเกาะแห่งนี้ของรอซ





ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังพากย์เสียงโดยไอคอนแห่งป็อปคัลเจอร์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี มาร์ค ฮามิล (แฟรนไชส์ Star Wars, The Boy and the Heron) ในบทหมีกรีซลีย์ ธอร์น, แมทท์ เบอร์รี (What We Do in the Shadows, แฟรนไชส์ The SpongeBob Movie) ในบทบีเวอร์ แพดเดลอร์และนักแสดงผู้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี วิง รามส์ (แฟรนไชส์ Mission: Impossible, Pulp Fiction) ในบทเหยี่ยวธันเดอร์โบลท์



เรื่องราวอันทรงพลังเกี่ยวกับการค้นพบตัวตน บททดสอบอันน่าตื่นเต้นระหว่างเทคโนโลยีและธรรมชาติ และการค้นหาความหมายของการมีชีวิตและการเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด The Wild Robot เขียนบทและกำกับโดยผู้กำกับเจ้าของสามรางวัลออสการ์ คริส แซนเดอร์ส มือเขียนบทและผู้กำกับจากภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชันเรื่อง How to Train Your Dragon, The Croods และภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง Lilo & Stitch และอำนวยการสร้างโดยเจฟฟ์ เฮอร์มันน์ (ภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชันเรื่อง The Boss Baby 2: Family Business; ผู้ร่วมอำนวยการสร้างแฟรนไชส์ Kung Fu Panda)





The Wild Robot โดยปีเตอร์ บราวน์ นิยายที่มีภาพประกอบสำหรับนักเรียนระดับมัธยมต้น และได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2016 กลายเป็นปรากฏการณ์ที่พุ่งขึ้นถึงอันดับหนึ่งในลิสต์เบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์ นับตั้งแต่นั้นมา หนังสือเล่มนี้ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับไตรภาคที่ตอนนี้รวมถึง The Wild Robot Escapes และ The Wild Robot Protects ผลงานของบราวน์ในซีรีส์ Wild Robot และหนังสือเบสต์เซลเลอร์เรื่องอื่น ๆ ของเขาทำให้เขาได้รับรางวัลคัลเดอคอทท์ ออเนอร์, รางวัลฮอร์น บุ๊ค อวอร์ด, สองรางวัลอี.บี. ไวท์ อวอร์ด, สองรางวัลอี.บี. ไวท์ ออเนอร์ส, รางวัลชิลเดรนส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขานักวาดภาพประกอบแห่งปี, สองรางวัลเออร์มา แบล็ค ออเนอร์ส, รางวัลโกลเดน ไคท์ อวอร์ดและรางวัลหนังสือที่มีภาพประกอบยอดเยี่ยมโดยนิวยอร์ก ไทม์



ดนตรีประกอบดั้งเดิมสำหรับ The Wild Robot โดยนักประพันธ์รางวัลออสการ์ คริส โบเวอร์ส (Green Book, The Last Repair Shop) และมือลำดับภาพคือแมรี บลี (Boss Baby: Family Business; ผู้ช่วยมือลำดับภาพแฟรนไชส์ How to Train Your Dragon) ผู้ออกแบบงานสร้างของเรื่องคือเรย์มอนด์ ซีบาค (แฟรนไชส์ The Kung Fu Panda; The Boss Baby 2: Family Business) หัวหน้าฝ่ายแอนิเมชันตัวละครคือจาค็อบ ฮยอร์ท เจนเซน (Puss in Boots: The Last Wish; The Croods: A New Age) หัวหน้าฝ่ายเรื่องราวคือไฮดี้ โจ กิลเบิร์ท (Puss in Boots: The Last Wish; นักวาดภาพเรื่องราวจาก The Croods: A New Age); ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์คือเจฟฟ์ บัดส์เบิร์ก (หัวหน้าฝ่ายลุคของ The Bad Guys; เอฟเฟ็กต์หลักใน The Croods; Kung Fu Panda 3) หัวหน้าฝ่ายลุคคือแบ็บติส ฟาน อ็อพสตัล (นักวาดภาพเอฟเฟ็กต์หลักใน How to Train Your Dragon 2; ทีมงานวิชวล เอฟเฟ็กต์หลักใน The Croods: A New Age) ฮีทเธอร์ ลันซา (ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างใน Puss in Boots: The Last Wish) รับหน้าที่ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง The Wild Robot โดยดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส





เรื่องราวความเป็นมา 
เรื่องราวหนึ่งเดียวในรุ่น
พลังอันยิ่งใหญ่ของ The Wild Robot

ในโลกที่หน้าจอเรียกร้องความสนใจของเราและเส้นตายเป็นสิ่งที่บงการวันเวลาของเรา เป็นเรื่องง่ายที่เราจะมองข้ามความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ เราพบว่าตัวเราติดอยู่กับการไล่ตามความพึงพอใจฉาบฉวยอย่างไม่ลดละ จนทำให้บ่อยครั้งที่เราพลาดความงามอันละเอียดอ่อนและความรอบรู้ที่อยู่รอบตัวเรา อย่างไรก็ดี บางครั้ง ความมหัศจรรย์ทางวรรณกรรมก็ถือกำเนิดขึ้น เรื่องราวที่ก้าวข้ามหน้ากระดาษ เผยให้เห็นถึงมุมมองลึกซึ้งที่มีต่อความงามที่ไร้การสำรวจของธรรมชาติ ความผูกพันที่รอคอยการค้นพบและบทเรียนที่ยังไม่มีผู้เรียนรู้ The Wild Robot ก็เป็นหนึ่งในเรื่องราวเช่นนั้น มันเป็นเรื่องราวที่ตอนแรกถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อผู้อ่านรุ่นเยาว์แต่ก็ได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจากความจริงที่เป็นสากลของมัน “The Wild Robot เป็นหนังสือที่รุ่นหนึ่ง ๆ จะมีแค่เล่มเดียวค่ะ” ประธานดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน มาร์กี้ คอห์นกล่าว “มันเป็นเรื่องราวแบบที่กลายเป็นมาตรฐานทางการเล่าเรื่องและอารมณ์สำหรับผู้อ่านรุ่นเยาว์และผู้ปกครองของพวกเขา ผู้ที่จะแบ่งปันมันต่อไปให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปอีก ไม่เพียงแต่มันจะเป็นเรื่องราวการผจญภัยน่าตื่นเต้นที่มีตัวละครที่มีชีวิตชีวาและน่าจดจำเท่านั้น แต่มันยังเกี่ยวข้องกับบางสิ่งตามสัญชาตญาณและไม่มีใครพูดถึงเกี่ยวกับการรับรู้ที่เรามีต่อโลกใบนี้และที่ทางของเราในโลกใบนี้ พอคุณได้สัมผัสมันแล้ว คุณก็จะไม่มีทางลืมเลือนมันไปได้ค่ะ”

The Wild Robot หนังสือของปีเตอร์ บราวน์ที่ติดอันดับหนึ่งของเบสต์เซลเลอร์นิวยอร์ก ไทม์ เล่าเรื่องของรอซซัม 7134 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “รอซ” หุ่นยนต์ที่ติดอยู่บนเกาะร้าง การเดินทางของรอซไม่ได้เป็นแค่การเดินทางเพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่เป็นการเดินทางเพื่อค้นพบตัวเองและความเชื่อมโยงกันที่คาดไม่ถึงกับสิ่งมีชีวิตบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งรวมถึงลูกห่านกำพร้าที่เธอเลี้ยงดูเหมือนลูกของตัวเอง นอกเหนือจากพล็อตเรื่องแล้ว นิยายเรื่องนี้ยังได้ร้อยเรียงบทเรียนที่ล้ำค่า ที่เน้นย้ำถึงความสำคัญและคุณค่าของความเมตตาท่ามกลางอุปสรรคขววากหนาม ความอดทนที่จำเป็นต่อการปรับตัว ความยุ่งยากลำบากของการเป็นพ่อแม่ การรับมือกับความสูญเสีย และวาทกรรมที่คงอยู่ตลอดกาลระหว่างธรรมชาติและเทคโนโลยี The Wild Robot ยกย่องโครงสร้างครอบครัวที่หลากหลาย เน้นย้ำถึงความงามของการยอมรับและการเป็นส่วนหนึ่ง และนำเสนอภาพสะท้อนอันเจ็บปวดของความหมายของการมีชีวิตอยู่



การเดินทางของบราวน์กับ The Wild Robot เริ่มต้นขึ้นผ่านทางการค้นคว้าเรื่องของหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์และพฤติกรรมของสัตว์ “ในตอนที่ผมค้นคว้าเรื่องราวเหล่านี้ ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าสัญชาตญาณของสัตว์เหมือนกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์มากๆ” บราวน์กล่าว “สัตว์มีชุดพฤติกรรมขนาดใหญ่ที่พวกเขามักจะทำแบบอัตโนมัติ เหมือนหุ่นยนต์ กลายเป็นว่าหุ่นยนต์และสัตว์ก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้าย ๆ กัน และการตระหนักรู้เรื่องนั้นก็เป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนและวาดภาพประกอบใน The Wild Robot ครับ”

ผลกระทบของ The Wild Robot ส่งให้หนังสือเรื่องนี้ถูกบรรจุเข้าอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้ปกครองและกระตุ้นให้เกิดการถกประเด็นกันในกลุ่มที่นอกเหนือจากเป้าหมายของมันอีกด้วย มือเขียนบท/ผู้กำกับคริส แซนเดอร์ส ผู้กำกับผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจาก How to Train Your Dragon และ The Croods โดยดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน ได้เจอนิยายเรื่องนี้ผ่านทางการบ้านที่โรงเรียนของลูกสาวของเขา แซนเดอร์สรู้สึกหลงใหลในความลึกซึ้งและรายละเอียดในหนังสือเล่มนี้และนึกภาพความเป็นไปได้ที่จะสร้างมันเป็นภาพยนตร์ในทันที “สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งเกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้ที่สุดคือการที่มันดูเหมือนจะเรียบง่ายแต่ก็มีมิติทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งครับ” แซนเดอร์สกล่าว “ผมรู้สึกเข้าถึงความไร้เดียงสาและความจริงใจของมัน ผมสนใจเรื่องราวที่มีกระแสอารมณ์ที่ชัดเจนอยู่แล้ว แม้ว่าผมจะชื่นชมเรื่องราวผจญภัยใหญ่โต แต่ช่วงเวลาที่สนิทสนมและเงียบงันกว่าเป็นสิ่งที่โดนใจผมจริง ๆ มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ ในฐานะคนทำหนังและผมคิดว่า The Wild Robot ก็เป็นตัวอย่างของสิ่งเหล่านั้นได้อย่างงดงามครับ”

หลายปีให้หลัง ระหว่างการประชุมที่ดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน แซนเดอร์สก็ได้ค้นพบ The Wild Robot อีกครั้งในแผนการพัฒนาของสตูดิโอ “ผมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย” แซนเดอร์สกล่าว “ผมเลือกมันเป็นหนังเรื่องต่อไปที่ผมอยากจะเขียนบทและกำกับทันที โทนมันเข้ากับความคิดอ่านของผมได้อย่างลงตัวครับ” แซนเดอร์สปรึกษาเรื่องนี้กับมาร์กี้ คอห์น ประธานดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน “มันเป็นเรื่องราวที่แตกต่างออกไปอย่างมากกับสิ่งที่เคยถูกบอกเล่ามาที่ดรีมเวิร์คส์ นี่เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้มีตัวเอกหรือผู้ร้ายตามแบบฉบับ แต่มีมิติลึกซึ้ง และผมก็ตื่นเต้นตอนที่มาร์กี้อธิบายว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาซื้อสิทธิเรื่องนี้มา” แซนเดอร์สกล่าว “สิ่งที่ผมชื่นชะมดรีมเวิร์คส์เสมอคือความหลากหลายของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับแค่สไตล์หรือโทนหนึ่งใดเท่านั้น โปรเจกต์แรกของผมกับดรีมเวิร์คส์คือ How to Train Your Dragon ที่เป็นการผสมผสานระหว่างดรามาและอารมณ์ขัน ที่ให้ความสำคัญกับอารมณ์ ความละเอียดอ่อนและการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยรายละเอียด ผมได้เห็นความคล้ายคลึงกันหลายอย่างระหว่าง The Wild Robot และ Dragon ในแง่ของดีเอ็นเอและมิติลึกซึ้งทางธีมของมันน่ะครับ”



ดรีมเวิร์คส์ก็มองมันแบบนั้นเช่นกันและได้ติดต่อปีเตอร์ บราวน์เกี่ยวกับสิทธิในการสร้างภาพยนตร์จากหนังสือเรื่องนี้ก่อนที่มันจะถูกตีพิมพ์เสียอีก ด้วยความเชื่อว่ามันมีศักยภาพที่จะเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่และดรีมเวิร์คส์เป็นสตูดิโอที่เหมาะสมกับการดัดแปลงมันสู่จอใหญ่ “ที่ดรีมเวิร์คส์ เป้าหมายของเราคือการนำพาผู้ชมไปสู่สถานที่ชวนดื่มด่ำที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นดินแดนเทพนิยายของ Shrek และ Puss in Boots, โลกก่อนประวัติศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์ของ The Croods หรือความงามตามธรรมชาติของ of Kung Fu Panda และแน่นอนค่ะ แฟรนไชส์ How to Train Your Dragon” คอห์นกล่าว “แต่หนังของเรายังได้สำรวจขอบเขตอารมณ์ของความหมายในการมีชีวิตอยู่ด้วย มันคือการโดดเดี่ยว ความรู้สึกกลัว การได้สัมผัสกับความตื่นเต้นของสิ่งที่ไม่รู้ การค้นพบความกล้าหาญในตัวคุณที่คุณอาจจะไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่และเหนือสิ่งอื่นใด การค้นพบบ้านของคุณและครอบครัวของคุณ ไม่ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม เราต่างก็ตื่นเต้นที่ปีเตอร์ไว้ใจให้เราดูแลเรื่องราวของเขา”

การยินยอมให้สตูดิโอภาพยนตร์แห่งไหนก็ตามมาสร้างภาพยนตร์จากผลงานของตัวคุณเองนั้นเป็นความเสี่ยงครั้งสำคัญสำหรับนักเขียนคนไหน ๆ ก็ตาม แต่แบ็คกราวน์ของบราวน์เองก็ช่วยคลายความวิตกกังวลที่นักเขียนส่วนใหญ่อาจจะรู้สึกเกี่ยวกับการตัดสินใจนั้น ก่อนที่จะเขียนและวาดภาพประกอบหนังสือสำหรับเด็ก บราวน์เคยหลงใหลในแอนิเมชันมาก่อน การเดินทางของเขาเริ่มต้นขึ้นที่ค่ายแอนิเมชันสมัยเด็ก และดำเนินต่อเนื่องมาถึงสมัยวิทยาลัย ที่เขาศึกษาเรื่องแอนิเมชันและได้ทำหน้าที่หลาย ๆ อย่างในสตูดิโอแอนิเมชันก่อนที่ท้ายที่สุดแล้ว เขาจะพบสิ่งที่เขารักอย่างแท้จริงในการรังสรรค์วรรณกรรมสำหรับเด็ก “ตอนที่ผมได้ยินว่าดรีมเวิร์คส์อยากจะสร้างหนังจาก The Wild Robot มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่าชีวิตของผมเป็นวงกลมที่เดินมาบรรจบกันแล้ว” บราวน์กล่าว “หนังสือและหนังเป็นศิลปะที่มีรูปแบบแตกต่างกันอย่างมาก ก็เป็นเลยเป็นเรื่องปกติที่ตัวหนังเรื่อง The Wild Robot จะแตกต่างจากหนังสือ แต่ผมก็ได้พูดคุยกับทีมผู้สร้างหลายครั้ง และผมก็รู้ว่าเป้าหมายของพวกเขาคือการถ่ายทอดจิตวิญญาณของหนังสือเรื่องที่ ที่ผมจินตนาการขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนน่ะครับ”"

ในขณะที่ดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชันจะเข้าใกล้วาระครบรอบปีที่ 30 ของพวกเขาในฤดูใบไม้ร่วงปี 2024 สตูดิโอก็ยังคงเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นเลิศทางศิลปะในระดับใหม่ ๆ ต่อไป “เราค้นหาเรื่องราวที่จะจุดประกายไฟในหัวใจและความคิดของผู้ชมทั่วโลกเสมอ ไม่มีเรื่องราวไหนที่ตรงกับภารกิจนั้นได้มากกว่า The Wild Robot อีกแล้วค่ะ” คอห์นกล่าว “คริส แซนเดอร์สเป็นผู้กำกับออเทอร์ตัวจริง และ The Wild Robot ก็เป็นเรื่องราวที่มีภาพวิชวลโดดเด่น ที่ต้องการผู้กำกับที่จะสามารถนำมันสู่จอเงินได้พร้อมกับความงดงามและความบอบบางทั้งหมดของมัน ผลงานมากมายที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของคริสทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะกำกับโปรเจกต์นี้และเราต่างก็ยินดีที่เขาได้เข้าร่วมงานนี้ค่ะ”

แซนเดอร์สตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยานสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะผลักดันขอบเขตด้านการแสดงออกทางศิลปะและการเล่าเรื่องออกไปอีก การทำวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นจริงได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้อำนวยการสร้างมากประสบการณ์ และเจฟฟ์น เฮอร์มันน์ ผู้เคยทำงานในภาพยนตร์หลายเรื่องของดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน ซึ่งรวมถึง The Boss Baby: Family Business และแฟรนไชส์ Kung Fu Panda ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ตัวเฮอร์มันน์เองก็ตระหนักดีถึงโอกาสในการได้บุกเบิกเส้นทางใหม่ ๆ กับภาพยนตร์เรื่องนี้ “ตั้งแต่เริ่มแรกเลย เรารู้ดีอยู่แล้วว่าเรื่องราวนี้ไม่ธรรมดา” เฮอร์มันน์กล่าว “มันรวมเอาองค์ประกอบที่ดีที่สุดของการเล่าเรื่องด้วยหนังเอาไว้ มันเป็นส่วนผสมระหว่างความยิ่งใหญ่และความสนิทสนม ความสุขและความเศร้า อารมณ์ขันและความน่าสะพรึงกลัว ความตื่นเต้นและการค้นพบ มันดำดิ่งลงไปในประสบการณ์พื้นฐานของมนุษย์ผ่านทางมุมมองของหุ่นยนต์และสัตว์ สำรวจธีมของความผูกผัน หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความรักและแก่นแท้ของอารมณ์ครับ”

ในการแปลหนังสือเรื่องนี้ให้เป็นภาพยนตร์ ทีมผู้สร้างต้องการจะดัดแปลงและขัดเกลาเรื่องราวพร้อมไปกับการยกย่ององค์ประกอบที่เป็นที่รัก ซึ่งเป็นที่ถูกใจของผู้อ่านไปด้วย วัตถุประสงค์ของพวกเขาชัดเจน นั่นคือการยกย่องคุณสมบัติที่กล้าหาญ โดดเด่นของเรื่องราว การผลักดันขอบเขตวิชวลในเรื่องลุคและสไตล์ออกไป และขับเน้นถึงอารมณ์และธีมที่สลับซับซ้อน ที่ร้อยเรียงอยู่ในเรื่องราว

ใน The Wild Robot รอซพบว่าตัวเองไม่เหมาะกับป่าใหญ่ซักเท่าไหร่ เพราะเธอถูกตั้งโปรแกรมมาสำหรับชีวิตในเมืองอนาคตสมัยใหม่ รอซ ผู้ไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา ไล่ล่าเป้าหมายดั้งเดิมของเธออย่างไม่ลดละ นั่นคือการตามหาคนที่มีงานให้เธอได้ทำให้สำเร็จ แทนที่จะเจอมนุษย์ เธอกลับพบบรรดาสัตว์ทั้งหลาย มันเป็นสิ่งที่เธอไม่คุ้นชินเลยซักนิด รอซ ผู้ไม่ท้อใจ จมจ่อมอยู่กับการศึกษาพฤติกรรมของพวกเขา และได้เรียนรู้ที่จะสร้างความผูกพันและสื่อสารกับพวกเขาได้ในที่สุด

ทีมผู้สร้างตระหนักได้ถึงศักยภาพของเรื่องราวนี้ว่าเหมาะกับแอนิเมชันอย่างลงตัว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าตัวละครทั้งหมดไม่ใช่มนุษย์ “หนึ่งในความสุขที่คาดไม่ถึงในการสร้างหนังเรื่องนี้คือการได้นำเสนอสัตว์อย่างสมจริงครับ” แซนเดอร์สกล่าว “ในแอนิเมชัน มักจะมีแนวโน้มในการทำให้สัตว์มีลักษณะของมนุษย์ ทำให้พวกเขามีนิสัยแบบมนุษย์ เช่นการใส่เสื้อผ้า การขับรถและการมีงานทำ แม้ว่าเรื่องแบบนั้นอาจจะสนุกก็จริง แต่มันก็มีความชื่นชมพิเศษสำหรับเรื่องราวที่นำเสนอสัตว์อย่างที่พวกเขาเป็นในธรรมชาติ สิ่งที่ทำให้เรื่องราวนี้แตกต่างออกไปคือสัตว์บนเกาะนี้ของเรามีลักษณะความเป็นมนุษย์ได้ตรงที่พวกเขาสามารถพูดได้ก็จริง แต่ในแง่มุมอื่น ๆ พวกเขาก็มีพฤติกรรมที่สมจริงเหมือนกับสัตว์จริง ๆ เราอยากจะถ่ายทอดแก่นแท้ของการที่สิ่งมีชีวิตพวกนี้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ไร้ปรานี ที่ซึ่งการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดปรากฏให้เห็นชัดเจน พวกแอนิเมเตอร์ตอบรับโอกาสที่หาได้ยากนี้และใส่เอาความอบอุ่นและความสมจริงเข้าไปในการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของสัตว์ น่าแปลกใจที่การขาดองค์ประกอบแบบมนุษย์นำไปสู่ความบริสุทธิ์ที่งดงามในเรื่องราวนี้ครับ”

การเดินทางของรอซมาถึงช่วงจังหวะสำคัญตอนที่เธอได้ค้นพบไข่ที่ยังไม่ถูกฟักออกมา นำไปสู่การถือกำเนิดลูกห่าน ที่สานสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเธออย่างรวดเร็ว นี่เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับงานใหม่ของรอซ นั่นคือการทะนุถนอมเลี้ยงดูลูกห่านตัวนี้ ประสบการณ์นี้ทำให้รอซได้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับเรื่องของชีวิต ความรักและความเจ็บปวดจากความสูญเสียที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ “สิ่งที่บาดลึกเกี่ยวกับเรื่องราวตอนนี้คือความเจ็บปวดหัวใจที่จะตามมาจากการเลี้ยงลูกห่านตัวนี้ ซึ่งเป็นความจริงที่รอซยังไม่ได้ตระหนักถึงซักเท่าไหร่น่ะครับ” แซนเดอร์สกล่าว “ท้ายที่สุดแล้ว การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็หมายถึงการเฝ้ามองนกน้อยตัวนี้สยายปีกแล้วบินจากไป ซึ่งเธอก็ต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้น ความท้าทายในชีวิตจะทดสอบความอดทนของเธอ แต่เธอก็ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคและยอมรับความไม่แน่นอนของสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าด้วยครับ”

ป่าแบบมิยาซากิที่วาดโดยโมเนต์

ศิลปะใน The Wild Robot

ทีมผู้สร้างได้ก้าวข้ามเส้นเรื่อง และมุ่งมั่นไปกับการผลักดันขอบเขตวิชวลด้านสไตล์และสุนทรียศาสตร์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์นี้ พวกเขาก็ตั้งใจที่จะสร้างอัตลักษณ์ทางวิชวลที่ซับซ้อนและมีเอกลักษณ์ให้กับเรื่องราวนี้อยู่แล้ว ฉากเกาะแห่งนี้เป็นผืนผ้าใบที่สมบูรณ์แบบที่จะนำเสนอสไตล์แอนิเมชันแบบภาพวาดที่โดดเด่น “พ่อของผมเคยพูดกับผมในสิ่งที่ผมจะไม่มีวันลืม” แซนเดอร์สกล่าว “เขาบอกว่า ‘มีขีดจำกัดในสิ่งที่ลูกสามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่ลูกสามารถวาดอะไรก็ได้ทั้งนั้น’ แนวคิดนั้นติดอยู่ในหัวผมมาตลอด นอกจากนั้น เขายังพูดถึงผลกระทบที่ยั่งยืนของภาพวาดด้วย เขาเชื่อว่าในขณะที่ภาพถ่ายบนผนังอาจจะจืดจางกลายเป็นแบ็คกราวน์ได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่ภาพวาดจะเรียกร้องความสนใจและยังคงเสน่ห์ของมันไว้ได้เสมอ ผมพบว่ามันเป็นเรื่องจริงมาก ๆ ครับ”

ด้วยความที่เขาเริ่มต้นทำงานในยุคของแอนิเมชันวาดมือ แซนเดอร์สจึงมีความชื่นชมอย่างลึกซึ้งต่อความสามารถเชิงศิลปะและความเป็นช่างฝีมือที่เกี่ยวข้อง “แม้ว่าแอนิเมชัน CG จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวกล้องที่น่าตื่นเต้นแต่มันก็เสียสละรายละเอียดที่ซับซ้อนบางอย่างและความอบอุ่นของตัวละครที่วาดด้วยมือไปครับ” แซนเดอร์สกล่าว “ในช่วงแรก ๆ ผมกังวลว่า CG ดั้งเดิมอาจจะเป็นสิ่งที่จำกัดเราไว้ เราก็เลยเลือกใช้ลักษณะแบบภาพวาด ที่ได้แรงบันดาลใจจากผลงานสไตล์นี้ของดรีมเวิร์คส์ในช่วงหลัง ๆ เราต้องการความสง่างาม พลังและความพลิ้วไหวแบบบทกวีในภาพวิชวลของเรา และแนวทางนี้ก็ทำให้ได้ภาพแบบนั้นและยิ่งกว่านั้นอีก มันให้น้ำหนักไปที่ภาพวาดที่มีมิติ เน้นย้ำถึงรายละเอียดที่เปี่ยมความรู้สึกมากกว่าความสมจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์ การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ผมถูกดึงดูดด้วยความงดงามของมันเท่านั้น แต่ยังทำให้ฉากนี้ให้ความรู้สึกสมจริงและอารมณ์แบบยกระดับขึ้นด้วย เราได้แรงบันดาลใจจากการนำเสนอภาพสัตว์ในหนังดิสนีย์คลาสสิกยุคเริ่มแรกอย่าง Bambi และจากป่าที่ช่วยสร้างบรรยากาศในหนังของฮายาโอะ มิยาซากิ ด้วยการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของดรีมเวิร์คส์ เราได้สร้างหนังที่มีสไตล์แอนิเมชันที่มีเอกลักษณ์โดยสมบูรณ์ ลองจินตนาการถึงป่าแบบมิยาซากิที่โลดแล่นมีชีวิตผ่านทางผลงานของคล็อด โมเนต์ดูสิครับ”

กระบวนการในการขัดเกลาสไตล์วิชวลของภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นแหล่งที่มาของความภาคภูมิใจยิ่งใหญ่สำหรับทีมผู้สร้าง “ตอนแรก ระหว่างที่เราคุยกันถึงเรื่องความต้องการและศักยภาพของเครื่องมือของเรา เราก็จินตนาการถึงภาพวาดที่มีชีวิตขึ้นมา” เฮอร์มันน์กล่าว “ทีมงานทั้งหมดของเราไม่เพียงแต่ทำตามความคาดหวังของเราได้เท่านั้น แต่พวกเขายังทำได้เหนือกว่านั้น ด้วยการนำเสนอผลลัพธ์ที่เกินกว่าที่เราคิดเอาไว้ว่าจะเป็นไปได้น่ะครับ”

นอกเหนือจากการขัดเกลาเรื่องราวและภาพวิชวลแล้ว ทีมผู้สร้างยังได้ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับการสำรวจธีมและมิติทางอารมณ์ของเรื่องด้วย ด้วยความที่พวกเขาตระหนักดีถึงคลังแนวคิดมากมายใน The Wild Robot พวกเขาจึงได้ทำงานนี้อย่างรอบคอบและใส่ใจ ผลลัพธ์ที่ได้คือภาพยนตร์ที่เตือนเราอย่างรื่นหูให้รำลึกถึงความผูกพันที่เรามีกับโลกธรรมชาติและขับเน้นถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ มันสนับสนุนให้ผู้ชมมองหาความงามในสถานที่ที่คาดไม่ถึงและเน้นย้ำเรื่องของความเมตตาเหนือสิ่งอื่นใด “แอนิเมชันมีความสามารถพิเศษในการใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปในองค์ประกอบที่ไม่ใช่มนุษย์ครับ” เฮอร์มันน์กล่าว “โปรเจกต์นี้ทำให้เราถอยห่างจากโทนตลกขบขันและดำดิ่งลงไปในการเล่าเรื่องที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระสำคัญน่ะครับ”

หนึ่งในธีมที่ทรงพลังแต่ไม่มีใครพูดออกมาตลอดทั้งเรื่องคือคอนเซ็ปต์ของการรับอุปการะและครอบครัวที่พบใหม่ “การดำเนินเรื่องราวนี้ได้ถ่ายทอดอย่างงดงามว่าคนเราไม่จำเป็นจะต้องเป็นพ่อแม่ตามสายเลือดถึงจะทำหน้าที่พ่อแม่ได้” แซนเดอร์สกล่าว “การเดินทางของรอซในการรับมือกับความเป็นแม่ จากการปฏิเสธในตอนแรกไปสู่การยอมรับในท้ายที่สุดเพราะเธอใส่ใจลูกห่านน้อยตัวนี้ กระทบใจอย่างลึกซึ้ง ความสัมพันธ์ที่ผลิบานขึ้นระหว่างเธอกับลูกห่านน้อยขับเน้นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในการเป็นพ่อแม่ครับ”

การเปลี่ยนแปลงของรอซหลังจากที่ลูกห่านน้อยฟักเป็นตัวแล้วนั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเมตตาที่เกิดขึ้นใหม่ “ในตอนแรกที่เราคุยกับปีเตอร์ บราวน์ เราให้น้ำหนักไปที่แนวคิดที่ว่า ‘ความเมตตาเป็นทักษะของการเอาชีวิตรอด’ น่ะครับ” เฮอร์มันน์กล่าว แซนเดอร์สกล่าวเสริม “เราใส่ใจกับบทสนทนานั้นและถึงกับเขียนมันลงไปในการดำเนินเรื่องด้วยซ้ำไป แม้ว่ามันจะไม่ได้เขียนลงไปในหนังสือเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้ง แต่การกระทำที่มีเมตตาของรอซก็กลายเป็นหลักนำทางสำหรับหนังเรื่องนี้และมันไม่เพียงแต่หล่อหลอมเรื่องราวนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นค่านิยมที่ทีมงานทุกคนของเราให้การยอมรับอีกด้วยครับ”



สำหรับแซนเดอร์ส การนำ The Wild Robot สู่จอเงินเป็นประสบการณ์ที่ทั้งเป็นส่วนตัวและเป็นมืออาชีพอย่างลึกซึ้ง “โปรเจกต์นี้เป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ผมภาคภูมิใจที่สุดในหน้าที่การงานของผม” แซนเดอร์สกล่าว “นักวาดภาพทุ่มเทอย่างจริง ๆ จัง ๆ ให้กับการเนรมิตชีวิตให้กับหนังสือเรื่องนี้ เรื่องราวและตัวละคร ที่มีความสำคัญอย่างเหลือล้นเป็นการส่วนตัวสำหรับผม ทีมงานและหวังว่าจะรวมถึงผู้ชมทุกคนด้วยนะครับ เช่นเดียวกับชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก The Wild Robot โอบกอดโศกนาฏกรรม ความสุข แผนการที่ล้มเหลวและชัยชนะโดยบังเอิญเอาไว้ มันยกย่องเวทมนตร์ในชีวิตแต่ละวันที่ร้อยเรียงชีวิตเข้าด้วยกัน สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของความเป็นพ่อแม่ วัยเด็ก แก่นแท้ของคำว่าบ้าน และเหนือสิ่งอื่นใด การเรียนรู้ที่จะเติบโตเหนือขอบเขตที่เราถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ครับ”