"พิธา" ชี้ยุบ "ก้าวไกล" ทำอ่อนแรงระยะสั้น แต่จะติดติดเทอร์โบระยะยาว

2024-06-05 16:39:32

"พิธา" ชี้ยุบ "ก้าวไกล" ทำอ่อนแรงระยะสั้น แต่จะติดติดเทอร์โบระยะยาว

Advertisement

"พิธา" ให้สัมภาษณ์สื่อนอกชี้ยุบพรรคทำให้ "ก้าวไกล" อ่อนแรงลงระยะสั้น แต่จะติดติดเทอร์โบให้พรรคได้แต้มต่อในระยะยาว

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.67  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.67  ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกลที่กำลังดำเนินอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญในขณะนี้ ด้วยข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครองจากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ตนยังคงเชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาและวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลอย่างเป็นธรรม พร้อมย้ำว่าการกล่าวหาตนและพรรคก้าวไกลว่าเป็นกบฏหรือผู้ทรยศที่มุ่งล้มล้างการปกครองนั้นถือเป็นข้อกล่าวหาที่เกินจริง เพราะสิ่งที่ตนและพรรคก้าวไกลเสนอคือความสมดุลทางกฎหมาย ระหว่างการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายพิธา กล่าวต่อว่า คดียุบพรรคจะทำให้พรรคก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการติดเทอร์โบ”(turbocharge) ให้พรรคได้แต้มต่อในแนวคิดและนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว โดยยกตัวอย่างสถานการณ์การยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 2563 ซึ่งทำให้พลังของพรรคอ่อนแอลงชั่วคราว แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนแบบติดเทอร์โบได้ในการเลือกตั้งปี 2566 แสดงให้เห็นว่าแนวคิดแบบก้าวหน้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โดยพรรคก้าวไกลได้เก้าอี้ในสภาฯ มาครองเพิ่มขึ้นเป็น 151 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรคอนาคตใหม่ในปี 2562 ได้ 81 ที่นั่ง ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแนวคิดแบบก้าวหน้าคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อพรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆ

นายพิธา ยังกล่าวถึงสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในประเทศไทย โดยเฉพาะคดีมาตรา 112 ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล ถูกตัดสินจำคุก 2 ปีโดยไม่รออาญา ขณะเดียวกันในช่วงกลางเดือนก่อน น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง นักกิจกรรมทางการเมืองวัย 28 ปีก็เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วงระหว่างการถูกควบคุมตัวในเรือนจำก่อนการพิจารณาคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า หากพวกเราในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับอนุญาตให้อภิปรายเรื่องหลักความได้สัดส่วนของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างมีวุฒิภาวะ โปร่งใส และด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองก็จะคลี่คลายลงไปได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่ผลักเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ให้จนมุม หากเรามีพื้นที่ในการพูดคุยถกเถียงเรื่องนี้กันได้ในรัฐสภา ก็จะไม่เกิดการกดดันให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ เลือกวิธีการประท้วงที่ทำร้ายตัวเอง รวมถึงคนที่พวกเขารักด้วย