เปิดใจ หรั่ง พระนคร กับชีวิตที่วนเวียนอยู่กับคุก จุดเปลี่ยนกลับตัวเป็นคนใหม่

2024-04-19 14:05:33

เปิดใจ หรั่ง พระนคร กับชีวิตที่วนเวียนอยู่กับคุก จุดเปลี่ยนกลับตัวเป็นคนใหม่

Advertisement

เคยเป็นอดีตนักโทษขาใหญ่ที่สุดในเรือนจำ แต่สุดท้ายก็กลับตัวกลับใจกลายเป็นคนใหม่ได้ สำหรับ หรั่ง พระนคร หรือ อัครินทร์ ปูรี อดีตนักโทษที่เคยเข้าสถานพินิจตั้งแต่อายุ 14 ปี ติดคุกทั้งหมด 9 ครั้ง สถานพินิจ 7 ครั้ง และเรือนจำ 2 ครั้ง

ล่าสุด หรั่ง ได้มานั่งเล่าเปิดใจในรายการ Level up ที่ออนแอร์ทางช่องยูทูบ Thairath Online Originals ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 น. จุดเปลี่ยนที่ต้องเข้าสถานพินิจตั้งแต่อายุ 14 จนกระทั่งการติดคุกครั้งสุดท้าย ด้วยข้อหาชิงทรัพย์ ไปฉกชิงวิ่งราวทอง ศาลตัดสินจำคุก 20 ปี 5 เดือน ต้นเรื่องมาจากการที่ไม่มีเงินซื้อยาเสพติด ก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. 2555 ลดเหลือโทษ 10 ปี ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาตัดสินใจเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นจนทุกวันนี้



หรั่ง พระนคร นี่ชื่อจริงไหม?



"ชื่อ หรั่ง เป็นชื่อถูกล้อตั้งแต่เด็ก ส่วน พระนคร คือชื่อแก๊งในคุกครับ ชื่อจริงๆ ชื่อเล่นผมชื่อว่า โรต้า คุณพ่อคุณแม่ตั้งให้ชื่อ โรต้า ชื่อจริงชื่อ อัครินทร์ ปูรี"

ชีวิตของพี่หรั่งในแต่ละ Level มันเป็นยังไง เริ่มที่ Level แรกก่อนเลย Level 6 คือ 6 ขวบ?
"สิ่งที่ผมจำได้ คือมันมีภาพติดตาเยอะ เท่าที่จำความได้ ตอน 6 ขวบ คุณแม่ผมป่วย ใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลสัก 4-5 เดือน ผมกับพี่สาวก็จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่พอคุณแม่เสียปุ๊บ คุณพ่อผมเสียใจมาก จริงๆ คุณพ่อผมไม่ใช่คนที่น่ากลัวนะ เป็นคนที่รักครอบครัวปกติ เหมือนครอบครัวทั่วไป แต่พอคุณแม่เสียเนี่ย มันเหมือนเขาขาดคนที่เขารักจากเขาไป



แล้วเขาก็เหมือนกับไม่สามารถปรับตัวอยู่ได้ เสียศูนย์เลย เหมือนกลับมาเสียใจทุกวัน เขาเลยกลับไปพึ่งพาสุรา เหล้า คุณพ่อผมเนี่ย ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป คนปกติเวลาดื่มสุรา หรือดื่มเหล้า เขาอาจจะควบคุมตนเองได้ แต่พ่อผมเนี่ยไม่ได้เลย เหมือนกับพอเขาเริ่มดื่มเหล้ามากเข้าๆ พฤติกรรมของพ่อผมเริ่มกลายเป็นคนที่โมโหร้าย

แต่ว่าพูดง่ายๆ ภาษาตรงๆ คือปิศาจเข้ามาสิงสู่คุณพ่อของผม ใช้ความรุนแรง อะไรไม่พอใจนี่ตีอย่างเดียว ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีคุย ผมเริ่มซึบซัมพฤติกรรมความรุนแรงละ พอ 7 ขวบ คุณพ่อให้ผมกับพี่สาวไปเรียนโรงเรียนวัด พอไปเรียนเสร็จปุ๊บ ไอ้ลูกครึ่ง หน้าแขกๆ แบบนี้ มันกลายเป็นตัวประหลาด จนถูกกลุ่มเพื่อนๆ ล้อ ไอ้ฝรั่งดอง ฝรั่งขี้นก

แต่เราจำได้เวลาที่พ่อใช้ความรุนแรงกับเรา เรากลัว เราจึงรวบรวมความกล้า ‘เฮ้ย ใครล้อเรา ต่อยเขาเลย’ คือผมจำได้อย่างเดียวเวลาที่พ่อทำแบบนี้ เรากลัว แล้วพ่อบอก หรั่ง อย่าไปทางซ้าย ผมไปปุ๊บ พ่อตบเพี๊ยะ เราก็จะกลัว ไม่กล้าทำ มันเหมือนเด็กเราจำได้แค่นั้น แล้วเวลามีคนล้อเรา เราชกเขา มันได้ผล ปัญหาคือมันได้ผล คือเริ่มต่อยคนแรก มันเหมือนกับสภาวะจิตใจเราบอกว่ามันสู้แล้ว



พอเราสู้แล้วมันทำไมครับ มันมีครั้งที่หนึ่ง แล้วก็ต้องมีครั้งที่สอง พอคนอื่นมาล้อเรา เราก็ชกเขา พอเริ่มทำแบบซ้ำๆ 3 ครั้ง 4 ครั้ง ได้ผล เพราะเด็กที่ล้อเรา เริ่มไม่ล้อเรา เริ่มจะมาเป็นพวกเรา เหมือนเห็นเราสู้คน แล้วความเป็นเด็ก 7 ขวบ มันคิดไม่ได้ มันคิดอย่างเดียวคือนี่คือวิธีการป้องกันตัวเองที่ดีที่สุด มันเลยติดนิสัยแบบนี้

คุณพ่อเนี่ยมีส่วนสำคัญในชีวิตมาก คือตอนนั้นคุณพ่อผมเมาเหล้าหนัก แล้วเหมือนกับตีผม จนหัวผมแตก เย็บ 4 เข็ม ตอนนั้นผมเริ่มมีคำถามว่า ‘เฮ้ย คนคนนั้นมันใช่พ่อเราไหมเนี่ย’ มันกลายเป็นเหมือนแค้นฝังหุ่น เราเกลียดคุณพ่อ ในพฤติกรรมที่คุณพ่อใช้ความรุนแรง แต่เราเก็บไว้ เวลาเราไปโรงเรียน มีคนมาล้อเรา เราต่อยเขาเนี่ย

เราไม่ได้นึกถึงเขานะ เรานึกถึงพ่อ จะมีคนเลวสักแค่ไหน นั่งแช่งให้พ่อตัวเองตายทุกวัน ผมเนี่ยคนนั้น ถ้าไม่ดื่มเหล้าเนี่ย เขาคือคนที่น่ารักที่สุด ชีวิตก่อน 6 ขวบ ที่จำได้คือมีความสุข คุณพ่อคุณแม่อยู่ครบอะไรอย่างนี้ ถึงเราอาจจะไม่ได้มีเงินมีบ้าน เราอาศัยบ้านเช่าอยู่ก็จริง แต่ว่าทุกคนในครอบครัวเราจำได้ว่ามีความสุขดี

ผมมาติดยาก็เพราะพ่อเอง คือผมเกเรมากก็จริง แต่ผมไม่ติดยาเสพติด ในกลุ่มมี 10 คน ทั้ง 9 คน ติดยาบ้าหมด ปี 2542 ยาบ้าระบาดหนักในโรงเรียน ก็คือจะมีเด็กบ้าน หรือเด็กรุ่นพี่ที่อยู่ข้างนอก เอายามาขายให้กับเด็กมัธยม เด็กมัธยมเสพกันเป็นแฟชั่น ‘อยากเข้ากลุ่มเปล่า อ้าว อยาก สูบดิ’ จะมีลักษณะแบบนี้เลย"



ตอนนั้นคือ ม.3?
"ม.3 เทอมแรก ปี 2542 อายุ 15 15 เพื่อนติดยายกกลุ่มเลย ห้องผมคือเพื่อนจะรู้เลยว่าเวลาผมเข้าไปในห้องน้ำโรงเรียน ถ้าผม หรั่ง พระนคร เข้าไปเจอ ผมจะเอายาบ้าทิ้งหมดเลย แต่มันมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ผมยกพวกไปตีกับโรงเรียนอื่น อันนี้ถูกตำรวจจับได้ ตำรวจจับเสร็จก็คือโทรหาอาจารย์ฝ่ายปกครอง ให้มารับรู้พฤติกรรมของนักเรียน เสร็จแล้วก็โทรหาผู้ปกครองแต่ละคนให้มารับตัวกลับทั้ง 9 คน พ่อแม่เขามารับหมดเลย พอมาถึงผมปุ๊บ พ่อบอกว่า ‘ให้นอน สน. ไปสักคืน ดัดสันดานมัน’ ในสภาวะที่เรารู้สึกว่าทำไมพ่อเราไม่เหมือนคนอื่น เด็กคนอื่นก็เกเร พ่อแม่เขายังสนใจ ใส่ใจ แต่ทำไมพ่อเราไม่สนใจเรา สภาวะสับสน ก็สูบยาเลย ติดเลย"



ตอนนั้นที่สูบเป็นเพราะรู้สึกว่าน้อยใจพ่อ ก็เลยเสพยาเหมือนคนอื่นก็ได้วะ ในเมื่อต่อให้ดีกว่าคนอื่น พ่อก็ไม่สนใจ อย่างนี้เหรอ?
"ใช่ ก็คือความเป็นเด็ก อายุ 15 เนี่ย วุฒิภาวะมันไม่ได้อยู่แล้ว เราอยู่กับเด็กเกเรมาด้วยกัน เด็กเกเรมันไม่ได้คุยเรื่องดี ไม่ได้ตั้งใจเรียน คุยแต่เรื่องบัดซบ มันก็เลยเสพ ‘เอาเปล่าหรั่ง พ่อมึงก็ไม่ได้สนใจ’ ไม่ได้โทษเพื่อน แต่เพื่อนก็มีส่วนสำคัญ อะก็มาสิ ก็เสพ"

Up skill มาอีกทีหนึ่งคือ 15 15 นี่คือทั้งต่อยตีเป็นนักเลง แล้วก็ติดยาด้วย?



"หลังจากติดยาได้ประมาณสัก 6 เดือน ก็ถูกจับ แต่ในช่วง 6 เดือนที่ติดยาเนี่ย ก็ค่อนข้างติดยาหนัก แต่ว่าเรื่องกับคุณพ่อก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย เพราะเราก็ทำตามระบบละ ตามระบบก็คือออกตอนเช้า โรงเรียนไม่เข้า แต่ว่าตอนที่มันหนักมากที่สุดคือ เริ่มไถตังค์ อาจารย์ฝ่ายปกครองก็เริ่มโทรกลับมาที่บ้านบอกพ่อละว่าหรั่งเริ่มไถเงินในโรงเรียนนะ เริ่มถูกอาจารย์จับตรวจปัสสาวะบ้างอะไรบ้าง แต่ก็รอดพ้นมาได้ จนมาถึงจุดที่ถูกจับเนี่ย ที่ทำให้พ่อตบ แต่ที่ผมถูกจับก็ไม่ใช่คดียาเสพติด เป็นคดีพรากผู้เยาว์ ในวันนั้นกลุ่มผมคือจะนำเด็กผู้หญิงไปกระทำชำเราที่บ้านร้าง ข้างโรงเรียน คือเด็กผู้หญิงเขาก็ไม่ใช่เด็ก คือก็เป็นเด็กใจแตกด้วยกัน

เราต้องพูดตรงๆ ว่าเป็นเด็กเที่ยวด้วยกัน ส่วนผมรู้แล้วว่าอยู่บ้านร้างหลังนี้ ผมบอกแล้วว่าเดี๋ยวผมไปด้วย แต่ผมไม่ได้ทำ ผมแค่ต้องการหาสถานที่เสพยา เสพเสร็จแล้วเราก็กลับ แยกย้าย พอผ่านมา 3 วัน กลุ่มเพื่อนถูกตำรวจจับหมดเลย ละก็ซัดทอดมาว่ามีผมด้วย พ่อก็เลยถามกับอาจารย์ว่าผมทำหรือเปล่า ผมก็บอก ผมไม่ได้ทำ พ่อก็ถามผมว่า ‘ไม่ได้ทำเนี่ย ละมึงเข้าไปอยู่ตรงนั้นทำไม ถ้าบอกว่าไม่ได้ทำ’ เราก็เลยยอมรับกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ผมติดยา’ พ่อเนี่ยช็อกไปเลยนะ แบบสตันต์ไปเลยอะ ตอนนั้น 3-4 นาที แบบตาค้างไปเลย สักพักเขาบอกว่าโอเค ถ้าผมไม่ได้ทำ ก็ไปสู้คดีกัน"

อันนี้คือพ่อพูด?
"พ่อพูด ไม่ตีอะไรเลย วันนั้นไม่ตีเลย แล้วก็พาผมไปสวยๆ งามๆ เลย พอไปถึงปุ๊บ พี่สาวไปด้วย ก็เข้า สน. เรียบร้อยแล้ว ทั้ง 3 คน ผมบอกไม่ได้ทำ ก็ต้องสู้ ต้องประกัน แต่พ่อไม่มีตังค์ประกันนี่ เพื่อน 2 คนที่เป็นคู่คดีกัน เขามีเงิน เขาก็ประกันออกไป ส่วนผมก็ถูกส่งเข้าไปอยู่บ้านเมตตา สถานพินิจอะไรอย่างนี้ ประมาณสักเดือนหนึ่งได้"

ตอนนั้น 15 ติดคุกครั้งแรก ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปรู้สึกยังไง?
"ติดคุกครั้งแรก รู้สึกกลัวมากครับ กลัวมากๆ กลับแบบ ในคืนแรกก็นอนร้องไห้ นอนไม่หลับ เราไม่เคยอยู่ในสภาวะที่เด็กเป็นร้อยคน คือแบบเด็กห่ามๆ เด็กเกเร บางคนโดนคดีรุนแรงเหมือนผู้ใหญ่ทุกอย่าง แล้วอยู่รวมกันด้วยระบบขาเล็ก ขาใหญ่ นับ 1 2 3 นับผิดตบเลย ใช้ระบบแบบศาลเตี้ยเลย แล้วเราเป็นคนใหม่ ไม่รู้จะทำตัวยังไง วางตัวไม่ถูก แล้วเราก็กลัวว่าเราจะถูกกระทำ ทำร้าย พอเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ถูกรังแกเลย ก็คือเวลาลงมามันต้องมีการกินข้าวในโรงเลี้ยง พวกขาใหญ่ก็จะมาเอาพวกปลาเค็ม ถั่ว นู่นนี่นั่นของเราไป เสร็จแล้วผมก็ร้องไห้ จังหวะที่เพื่อนที่เคยอยู่ก่อนแล้ว ก็มาช่วยปลอบประโลม เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับผม แต่ถูกจับไปก่อน

ในคุกยุคของผม สถานพินิจเนี่ย ผู้ชายที่หน้าตาหล่อๆ ถ้าอยู่ในคุกเนี่ยเขาเรียกว่า สวย นะ และผมเป็นหนึ่งคนที่ถูกกลุ่มขาใหญ่รุมกระทืบ เพราะว่าเขาหวังที่จะล่วงละเมิดทางเพศผม บังเอิญมีขาใหญ่อีกคนมาช่วยผม ผมเลยรอดตายมาได้ พอรอดมาได้ มันก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าวิธีการอยู่ข้างในเนี่ย ต้องอยู่แบบไหน

พอพ้นโทษออกมาปุ๊บ สิ่งที่มันทำให้เราเหลิงขึ้นไปอีกคือเราผ่านสถานพินิจด้วยความเป็นเด็ก พอเราออกมาข้างนอกปุ๊บ ไอ้กลุ่มเพื่อนที่อยู่ข้างนอกกลับยิ่งยอมรับเราครับ สรรเสริญในทางที่ผิด เท่ นายสุดยอดเลย แล้วเราเป็นเด็กอะครับ ยิ่งเพื่อนยอมรับเรามากยิ่งขึ้น เราก็กลายเป็นคนทำตัวเกเรมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้พ่อผมเริ่มเปลี่ยนละ เริ่มรู้ว่าลูกเนี่ยเกเรละ ออกจากบ้านไป 2 เดือน ไม่เข้าบ้านเลย โทรมาอีกทีคืออยู่ใน สน. แล้ว จนมีประมาณรอบที่ 5-6 ถ้าผมจำไม่ผิด พ่อผมพูดแบบนี้ อยากให้ผมถูกจับ ถ้าผมอยู่ข้างใน พ่อผมตามไปเยี่ยมในคุกได้ เพราะรู้วันเวลา แต่ถ้าผมอยู่ข้างนอก ไม่รู้เลยว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง คือตอนนั้นผมเริ่มรู้แล้วว่าผมหนักมาก หนักขนาดที่บ้านไม่เข้าเลย เข้าออกสถานพินิจตลอดเวลา เราใช้ชีวิตอยู่ในวิถีของผู้ร้ายตลอดเวลา"

ย้อนกลับไปตอนนั้น ชอบตัวเองในตอนนั้นไหม?
"ไม่ได้ชอบ แต่เราเลิกยาไม่ได้ เพราะว่าเวลาเราอยู่สถานพินิจ ยาเสพติดไม่มี เราก็คิดได้ว่าพอแล้ว ติดขนาดนั้นมันจะลำบาก ถ้าปล่อยไปรอบนี้พอแล้ว จะไม่เสพ แต่พอปล่อยปุ๊บ ก็ห้ามใจไม่ได้ กลับไปเสพใหม่ เจอเพื่อนก็เสพเหมือนเดิม

จนมาครั้งสุดท้าย ออกจากสถานพินิจตอนอายุ 18 ปี คือพ่อกับพี่สาวมาขอร้องให้ผมไปเป็นทหาร ตอนนั้นปี 2544 มีการสมัครทหารเกณฑ์ครั้งแรก ปล่อยตัวออกมา พ่อกับพี่สาวคาดหวังว่าถ้าผมไปเป็นทหาร สามารถเลิกยาเสพติดได้ ผมก็เป็นให้ ไปงั้นๆ นะ พ่อรู้เลยว่าไม่ได้เต็มใจไป แต่ไปให้มันจบๆ ไป ช่วงฝึกทหารได้ 2 เดือน คุณพ่อตรอมใจเสียชีวิต พ่อตรอมใจตาย แสดงว่าผมต้องขนาดไหน คือรู้ทั้งรู้เลยว่าลูกไม่เอาดีแล้ว ผมทำให้เขารู้เลยว่าชีวิตนี้ผมต้องตายเพราะความเลวของผม ในใจผมท่องอย่างเดียวว่ากูเป็นคนทำให้พ่อตายๆ ทั้งหมด ภาพเก่าๆ ที่เราเกเรทั้งหมด มันกลับมาทั้งหมด"



และในความคิดก่อนหน้านี้ พี่ต่อยใครก็เห็นหน้าพ่อ แล้วพอในโมเมนต์ที่เขาไม่อยู่จริงแล้วที่เราเคยต้องการมาตลอด มวลความรู้สึกมันเป็นยังไง?
"คือสิ่งที่เราแช่งให้เขาตายในช่วงวัยเด็ก มันเป็นแค่อารมณ์ของเราที่เรารู้สึกโกรธ รู้สึกเกลียดเวลาที่เขาทำร้ายเรา แต่พอถึงคราวจริงๆ ที่เราเติบโตขึ้นมา เราผ่านชีวิตอะไรแบบนี้มาในระดับหนึ่ง อายุ 18-20 ปี เราเสียใจเหมือนคนที่เรารักจากไป เพราะว่าเขาจะดีจะชั่ว เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา โมเมนต์ความดียังไงก็มีมากกว่าโมเมนต์ความชั่ว

พ่อผมเคยไปยืมตังค์คนอื่น เพื่อพาผมไปกิน KFC ผมจำได้หมด ที่เที่ยวที่ดีที่สุดสำหรับผมกับพี่สาวในตอนเด็กคือเดอะมอลล์บางกะปิ แค่นี้เอง พ่อผมทำได้แค่นี้ โมเมนต์ความรักของเขามันอยู่ในตัวของผมหมด แต่ในช่วงที่เราเกเร เราชอบจำภาพที่ไม่ดีของเขา แต่ตอนที่เขาจากไปจริงๆ ภาพที่ดีของเขาก็กลับมา

ทุกครั้งเวลาพ่อผมนอนหลับ ผมจะไปไหว้เขา ไปกราบเท้าเขา ในใจลึกๆ เรา เรารักพ่อเรา แต่เราไม่แสดงพฤติกรรมความรักให้เขาเห็นเลย เพราะเขาไม่รับรู้ ขณะที่เขาตายเขาก็ไม่รับรู้เลยว่าผมรักเขา ผมไหว้เขา เคยกราบเท้าเขาแต่ตอนที่เขาหลับ พ่อ ขอโทษนะที่ผมทำตัวแบบนี้ เพราะว่าผมไม่กล้าบอกเขา ในขณะที่เขายังมีลมหายใจอยู่

ผมถูกตราหน้าตลอดว่าเลวในสันดาน ผมโดนมาตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนที่เกเรด้วยกัน เจ้าหน้าที่สถานพินิจ หรือเพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้องคนอื่น

ผมเคยชกพ่อด้วย ครั้งหนึ่ง แต่ชกเขาในลักษณะที่ตอนนั้นผมติดยาหนัก พ่อโมโหกลับบ้านช้า พ่อก็ตีๆๆๆ ผมเจ็บก็เลยหันไปต่อยทีหนึ่ง แต่มือไปโดนจมูกเขาเลือดกำเดาไหล พ่อผมก็หยุด ผมก็รู้สึกผิด เราไปถึงจุดที่ทำร้ายพ่อแล้วเหรอ มันก็เลยดึงให้ผมกลายเป็นคนเกเรมากยิ่งขึ้น รู้สึกว่าดีไม่ได้แล้วก็ไปมันให้สุดเลย

ตอนนั้นก็เอายาบ้าไปขายในกรมเลย พอคนมันหลุดโลก กลับไปเป็นทหาร ก็เอายาบ้าไปขายในกรม แล้วถูกตำรวจจับ ติดคุกทหาร 1 ปี 6 เดือน พอเข้าไปเสร็จก็รู้สึกกลัว นี่เป็นคุกผู้ใหญ่แล้วนะ ต้องไปเจอคนที่มันโตกว่าเราแล้วนะ แต่กลับเข้าไปมันก็หนีไม่พ้น กลุ่มคนคล้ายๆ กับที่เราเคยอยู่สถานพินิจ"

จนมาถึง Level ที่ 3 คือตอนอายุ 18 ที่ไม่เด็กแล้ว ปีครึ่งในคุกทหาร ได้เอาสกิลในสถานพินิจไปใช่ไหม?
"ยังครับ เข้าไปเรียนรู้เฉยๆ คุกทหารในยุคของผมมันไม่ได้มีการทะเลาะวิวาทเหมือนในสมัยนี้ ส่วนใหญ่มันจะเป็นเล่ห์เหลี่ยมในการใช้สมองมากกว่า ลักษณะเหมือนใช้เล่ห์เหลี่ยมในการใช้ชีวิตมากกว่า ไม่ค่อยมีการทะเลาะวิวาทมาก แต่เราจะเริ่มเห็นเล่ห์เหลี่ยมของผู้ใหญ่มันลึก มันร้ายกาจมากกว่าเล่ห์เหลี่ยมเด็ก

เราก็พยายามเรียนรู้ พอเราอยู่ในคุกแบบนี้ สัญชาตญาณของคนคุกที่เห็นคือเห็นแก่ตัว เอาตัวรอดเป็นหลัก ไม่มีใครจริงใจกับเรา 100% เพราะฉะนั้นเวลาเราอยู่กับใครก็แล้วแต่ เราจะมองว่าเขามีผลประโยชน์กับเรา มันถึงไปด้วยกันได้ ถ้าไม่มีเลยอยู่ลำบาก

มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในคุก ไม่มีใครที่ไม่มีคำว่าผลประโยชน์ บางคนเข้ามาไม่มีอะไรเลย ญาติมาเยี่ยมไม่เป็นไร ไปซักผ้า ไปใช้แรงงาน มีประโยชน์แน่นอน แม้แต่คนบ้ายังมีประโยชน์เลย เอามาเป็นกระสอบทราย"

หลังจากออกมาแล้วเป็นยังไง?
"พี่สาวทำหน้าที่ของพ่อ ก็มารับถึงหน้าเรือนจำ พี่สาวยิงคำถามดีมากเลย บอกหรั่ง พ่อหรั่งเสียชีวิตไปแล้ว หรั่งจะเลิกยาเสพติดได้หรือยัง ในใจลึกๆ ผมอยากเลิกนะ แต่ผมไม่กล้าตอบ เพราะรู้ว่าผมทำไม่ได้"

อะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าเราทำไม่ได้?
"เพราะผมไม่เคยเลิกมันได้สักครั้ง ก็เลยวนเวียนอยู่อย่างนี้ วันนั้นก็ไม่ได้ตอบพี่ และเขาก็ไม่ได้คาดคั้น จากนั้นก็กลายเป็นโจรเลย กลายเป็นอาชญากรแผ่นดินเลย

ก็คือกลับไปอยู่ชุมชนเหมือนเดิม ที่เดิม เวลาเรากลับเข้าไปในชุมชนที่เราอยู่ เพื่อน 10-20 คน ก็มาต้อนรับ เวลาเราซื้อยาเสพติดมา 20 เม็ด ก็แจกเพื่อน มันเป็นวิถีของความบัดซบ ในชุมชนของคนเกเรเป็นแบบนี้ ไม่มีเงินก็ไปขับมอเตอร์ไซค์กระชากทองคำ แต่ก่อนไม่มีกล้องวงจรปิด ไปกระชากเสร็จก็ให้เด็กอีกคนเอาทองไปขาย ได้เงินมา 5,000 ก็ซื้อยาแจก

สิ่งเลวทรามที่เราทำทั้งหมดมันติดอยู่ในใจ ตาเรามันก็เหมือนจอทีวี มันจำได้หมดเลยไม่มีทางลบเลือนออกไปได้ เวลาที่ผมทำสิ่งเลวๆ ทุกครั้ง มันเข้ามาเกาะกินในใจ แต่ผมไม่ได้บอกใคร มันดึงเราอยู่ตลอดเวลา ว่าเราเคยเป็นแบบนี้

มองตัวเองไม่มีค่า ยาเสพติดตัวหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยลบสิ่งในใจ นั่งอยู่คนเดียวก็นั่งร้องไห้ จนคนคิดว่าบ้า บางทีนั่งคนเดียวก็คิดว่าเราไม่น่าทำแบบนี้เลย บางทีน้ำตาก็ไหล แต่ไม่มีใครเห็น หรั่งเห็นคนเดียว แต่ก็ออกจากวงเวียนนี้ไม่ได้ จนกระทั่งถูกจับรอบสุดท้าย"

การติดคุกครั้งสุดท้าย?
"คือคดีชิงทอง 50 สตางค์ อันนี้มันมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาซื้อยาเสพติดกับผม เข้ามาในชุมชนแล้วผมเดินอยู่ เข้ามาจะซื้อยาเสพติดไปเสพ แล้วผมมองเห็น เขาใส่ทอง 50 สตางค์ ผมคิดในใจว่าขี้ยาเหมือนกันเว้ย กระชากทองไม่มีอะไรหรอก คิดแบบนี้แล้วผมก็กระชากทองเขา เอาไปขายเรียบร้อยแล้วซื้อยามาเสพ

แต่ผู้หญิงไปแจ้งความ ตำรวจมาจับผม ข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์กับเพื่อน ผมก็บอกตำรวจว่าเขาติดยา ตำรวจก็บอกว่ากูไม่ได้จับมึงคดีติดยา กูจับคดีชิงทรัพย์ ไปติดคุกซะ

คือเราเคยผ่านกระบวนการติดคุกมาเยอะ เรารู้ว่าร่วมกันชิงทรัพย์ ต้องมีเป็น 10 ปีแน่ พอส่งเข้าไปในเรือนจำ บรรยากาศมันน่ากลัว แต่เรารักษาฟอร์ม คนข้างในก็ยืนเรียงกันเต็มเพื่อที่จะดูคนใหม่เข้ามา ถอดเสื้อโชว์รอยสักเต็มไปหมดเลย พอผมเข้าไป ฝั่งโน้นก็ตะโกนมาเลย ‘หรั่งเพื่อน หรั่งเพื่อน’ ผมหันไปดู อ้าว นี่มันเพื่อนเรานี่หว่า ความกลัวหายไปหมด

เพราะเพื่อนอยู่ในนี้ แล้วเพื่อนพวกนี้มาจากสมัยที่ผมติดคุกตอนเด็ก ที่เราเคยเจอกันและต่างคนต่างแยกย้าย พอเจอเพื่อนก็ได้ถามว่าอยู่กันยังไง เพื่อนก็แนะนำเป็นขั้นตอนไป เราเคยผ่านเรือนจำสถานพินิจมาเยอะ พูดแค่นี้เราก็เข้าใจ มันเลยทำให้คุกเหมือนโลกของเรา เราช่ำชองในการอยู่คุก แต่ไม่ช่ำชองในการอยู่ข้างนอก"



20 ปี 5 เดือน แต่เราติดคุก 10 ปี ตอนนั้นทำใจเลยหรือเปล่า?
"คือผมทำใจว่าไม่ได้ออก ไม่ได้คิดว่าจะได้ปล่อยตัว คิดอย่างเดียวว่าไม่ตายในคุก ก็พิการ สภาพจิตใจเราสิ้นหวัง อยู่ดีๆ มันมีโอกาสหนึ่ง ผมได้ย้ายไปอยู่แดน 4 ทางเจ้าหน้าที่หน่วยประกาศว่านักโทษทุกคนที่อยู่แดนนี้ ไม่ว่าคุณจะทำดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ ถ้าคุณมีญาติ เราจะอนุญาตให้คุณพบญาติใกล้ชิด 1 ครั้ง

ผมก็เลยเขียนจดหมายไปหาพี่สาว ในความรู้สึกของผมที่เขียนไปหาเขา สิ่งเดียวที่ หรั่ง พระนคร คนนี้ จะตอบแทนพี่สาวได้ก็คือ กราบเท้าลาเขา และบอกเขาว่าพี่ไปจากชีวิตผมเลย น้องคนนี้กลับตัวไม่ได้แล้ว ไม่ต้องมาดูแลกันแล้ว เพราะตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ เวลาที่พี่สาวเขียนจดหมายมาหา เราสัมผัสได้อย่างหนึ่ง เวลาพี่สาวเจอใครมาจีบ หรือเจอแฟน ต้องคอยถามว่ารับได้ไหมน้องขี้คุก น้องติดยาตลอด และเวลาพี่สาวของผมมีโอกาสทางสังคม ต้องบินไปต่างประเทศ ไปทำงานดีๆ ไปไม่ได้ เพราะต้องคอยส่งเสียน้อง ถ้าไปแล้วใครจะดูแลน้อง

คือผมกลายเป็นเหมือนคนที่ไปดึงพี่สาวมาติดคุกด้วย การกราบเท้าของผมคือสิ่งเดียวที่จะตอบแทนบุญคุณของพี่สาวได้ และพี่สาวก็มาเยี่ยมนะ ขณะที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหลือสักประมาณ 5 นาที ในใจผมกะว่าจะกราบเท้าลาเขา แต่พี่สาวผมพูดเรื่องพระเจ้า พี่สาวผมบอกว่าหน้าตาผมเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก เหมือนคนสิ้นหวัง วันนี้พี่มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ถ้าหรั่งมีอะไรจริงๆ จากใจ ให้ลองกลับไปอธิษฐานกับพระเจ้าดู พี่ไม่โกหกหรอก

คืนนั้นผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นมาอธิษฐาน และพูดว่าพระเจ้า ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ช่วยทำให้ผมพ้นโทษได้ไหม ถ้าผมอยู่ในคุก ผมไม่สามารถกลับตัวได้ ถ้าพระเจ้าช่วยผม เดี๋ยวผมจะนับถือศาสนาคริสต์ แค่นั้นเอง แล้วก็กลับไปนอนเหมือนเดิม"

ตอนนั้นอธิษฐานด้วยใจที่อยากจะออกมา?
"ใจที่อยากจะออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเลย อยากออกแล้ว คือจริงๆ ลึกๆ ของเรา เราไม่เคยพูด คือตอนนั้นผมเป็นขาใหญ่สุดๆ ในคุกแล้ว ในความรู้สึกของผมตอนนั้นนะ แต่ผมรู้สึกกลัว คือผมจะเดินไปไหน นักโทษก็จะเรียกถาม น้าหรั่ง เอาอะไรครับ แต่ข้างในจริงๆ เรากลัวหมดเลย เพราะเรารู้ว่าการเป็นขาใหญ่สุดท้ายจบไม่สวย คือตาย มนุษย์ไม่กลัวตาย แต่กลัวเจ็บก่อนตาย ผมรู้ว่าระบบในคุกก่อนตายผมต้องถูกทำร้าย"

Level อายุ 28 ปี คือจุดเปลี่ยนชีวิต?
"จุดเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนประมาณหนึ่ง เปลี่ยนไประดับหนึ่งเลย ถ้าสังคมในคุกเห็นผมตกใจ เพราะช่วงนั้นผมได้อภัยโทษ ผมรู้ว่าได้มาจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ผมหยุด คือตอนนั้นผมเป็นเบอร์หนึ่ง เบอร์หนึ่งหมายความว่าอยู่ในคุกยุคของผม ยาเสพติดเข้าทุกวันจนอายุ 26"

อธิษฐานคืนนั้นแล้วรู้ตอนไหนว่าได้อภัยโทษ?
"คือรู้หลังผ่านมาแล้ว 1 ปี คือพอผมอธิษฐานเสร็จ หลังจากนั้น 2 เดือน ผมเอายาบ้าเข้ามาในเรือนจำ ผมเป็นขาใหญ่ ขายในเรือนจำ จนถูกเจ้าหน้าที่จับได้ไม่พอ ผ่านไป 2 เดือน ผมย้ายแดนไป ยกพวกตีกัน ใส่โซ่ตรวนขังซอย แต่ปี 2554 กลับมีรายชื่อผมได้รับพระราชทานอภัยโทษ ผมถามว่าถ้าไม่อัศจรรย์ขนาดนี้ ผมจะมาศรัทธาพระเจ้าได้ยังไง กระบวนการของคนคุก เรารู้ลึกซึ้ง ผมเนี่ยตั้งแต่ติดคุกมาปี 2542 ไม่มีการอภัยโทษโดยพาสชั้นขึ้นไปก่อนถึงจะอภัยโทษ ไม่มี และความรู้สึกที่จำได้ 100% คือสิ่งที่อธิษฐานกลับมาหมดเลย มันเลยทำให้ผมเกิดศรัทธา และเริ่มเบนเข็มใน 6 เดือนสุดท้ายก่อนปล่อย"

สรุป 6 เดือนสุดท้าย ใช้ชีวิตด้วยการวางมือ?
"วางมือ ออกมาปุ๊บก็ไม่รู้จะไปไหน ก็ไปที่มูลนิธิบ้านพระพร ตอนแรกที่พาไปผมคิดว่าพี่สาวจะเอาไปทิ้ง ถึงแม้เราคาดหวังว่าเราจะไปอยู่กับพี่สาว ไปนอนคอนโดฯ กับเขา ไปอยู่บ้านเขา แต่พี่สาวบอกแบบนี้ว่าพี่ต้องทำงานเช้าเย็นกลับ จะให้หรั่งอยู่ระยะเวลาที่มันว่าง ถ้าหรั่งไม่มีอะไรทำ หรั่งจะฟุ้งซ่าน และหรั่งก็จะกลับไปสู่กระบวนการแบบเดิม เพราะฉะนั้นหรั่งอยู่ที่นี่"

แสดงว่าที่ออกมาข้างในเป็นคนใหม่แล้ว?
"ความรู้สึกผมตั้งใจจะเป็นคนใหม่ 100% แต่พฤติกรรมมันไม่ใช่คนใหม่ ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม แต่ท่าทีในใจตั้งใจใหม่แล้ว มันคือโอกาสสุดท้ายแล้ว ถ้ามีโอกาสจะรียูส แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ ที่มูลนิธิจะมีคนนอกเข้ามาเลี้ยงข้าว มาเลี้ยงอาหาร มาบริจาค แต่คนนอกเหล่านี้เวลามาคุยกับผม มันทำให้ผมกลัว ผมจะคิดไปเองว่าถ้าเกิดเขารู้ประวัติผม เขาจะรับไม่ได้

และมันมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ตอนนั้นผมก็อยู่ในมูลนิธิ มูลนิธิก็เหมือนจะพยายามให้เราผลักดันเล่าประสบการณ์ตัวเอง พอเขาได้ฟัง คน 10 คน ก็ถอยหลัง 9 คน เราสัมผัสได้ถอยออกจากเรา 9 คน เพราะความกลัว เพราะยุคของผมเป็นยุคที่ไม่มีใครเปิดตัวเรื่องเป็นนักโทษ ไม่ใช่ยุคแบบนี้ ผมคือคนแรกๆ ที่เปิดตัวเรื่องเรือนจำ

หลังจากวันนั้นมามันทำให้ผมปิดกั้นตัวเอง เรามีกำแพงในใจ เราไม่อยากพูดเรื่องราวในคุกให้ใครฟัง เราเหมือนกับถูกปิดกั้นตัวเองแล้ว ให้ความรู้สึกนี้ยากมาก

จนมันมีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง อยู่ดีๆ ตอนนั้นก็มีรายการบางอย่างเข้ามา คือรายการเกี่ยวกับบ้านเล็กในเมืองใหญ่นี่แหละ มาถ่ายเรื่องสารคดี ผมก็ไม่ได้เกี่ยวนะ แต่ผมเป็นคนทำกีตาร์ รายการนี้ก็ให้ผมร่วมแสดงด้วย ผมก็ร่วมๆ ให้มันจบๆ ไป ก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นเป็น พี่ปุ๊ อัญชลี มา เสร็จแล้วตอนนั้นเหมือนพี่ปุ๊เขามีเล่นหนังอะไรสักเรื่อง แล้วนักข่าวตามมา ก็มาสัมภาษณ์อยู่ในช็อปกีตาร์ นักข่าวสายตาก็สอดส่องว่าหรั่งเคยเป็นนักโทษเหรอวะ เล่นกีตาร์ได้เหรอ หลังจากที่พี่ปุ๊กลับไป เขาก็ขอสัมภาษณ์ผม

ตอนนั้นผมก็สัมภาษณ์ เล่าให้เขาฟัง ผมก็คิดว่าพูดเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนของผม แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องลึกว่าผมเป็นขาใหญ่ในคุก และเขาก็ลงเว็บไซต์ พอลงเสร็จเท่านั้นแหละ คนอ่านเยอะ พอคนอ่านเยอะพี่สาวโทรกลับมาเลย หรั่งไปพูดทำไม ไปบอกทำไม เพราะพี่สาวเขากลัวว่าคนในสังคมไทยไม่ได้ยอมรับ ถ้าเขารับรู้ว่าเราเคยผ่านเรือนจำมา ผลตอบรับมันอาจจะเป็นทางลบก็ได้

จากนั้นมีหนึ่งรายการติดต่อมา ชื่อรายการเจาะใจ พอติดต่อมา ผมก็ต่อรองเขาว่าถ้าผมออก ผมพูดแบบนี้ได้ไหม เขาบอกยินดี ตอนนี้ผมก็เลยโทรกลับไปหาพี่สาว พี่สาวไม่ให้ออก เพราะเขากลัวอยู่แล้ว ออกไปจะไปพูดอะไร พี่สาวพูดแบบนี้ งั้นเล่าผ่านโทรศัพท์มา ถ้าเล่าแล้วทำให้เขาร้องไห้ได้ ไปออกผมก็หยิบโทรศัพท์มา นั่งเล่าแบบที่ผมอยากจะเล่า เล่าเสร็จพี่สาวผมร้องไห้ในโทรศัพท์ รายการเจาะใจทำให้ผมกล้าเล่าได้หมดเลย นั่นคือรายการแรกที่ทำให้ผมปลดปล่อย เรามีความเชื่อว่าถ้าเรากลับตัว คนในสังคมจะให้โอกาสเรา มันกลับเป็นผลบวก ถ้าเราพูดด้วยความจริงใจ 100% เราพูดจริงๆ คนสัมผัสได้ คือเราตอแหลคนก็สัมผัสได้ ถ้าเราพูดจริงๆ ผมเชื่อว่าคนให้โอกาส และมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด"

พี่เลิกยาได้ตอนไหน?
"คือในช่วงที่เราอยู่ที่มูลนิธิมา 4 ปี เราล้มลุกคลุกคลาน มีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เรารู้สึกนอยด์พี่ เราน้อยใจก็โทรหาเพื่อนเลย เพื่อนกลุ่มเดิมด้วย บอกว่าไปหาหน่อย เพื่อนก็บอกว่ามาเลย จัดงานเลี้ยงคาราโอเกะให้เต็มที่ พอมาปุ๊บก็เสพยา ตอนที่หยิบก็ไม่ลังเล หยิบมาแบบง่ายๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร เราก็เสพอยู่กับเขาสักพัก เพื่อนคนนี้ก็พูดขึ้นมา หรั่งคิดดีแล้วเหรอ มันบอกว่าดูนะเว้ย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายมันก็จะเป็นแบบนี้ ภาพที่อยู่ในคุกมันก็กลับมา ผมก็เลยสะกิดเพื่อนให้ไปส่งที่มูลนิธิ เพื่อนเตือนสติ

คือเพื่อนผมเป็นแบบนี้ครับ ในแก๊งผมหลายคนเป็นคนไม่ดีจริง แต่เวลาเขาเห็นผมในทางที่ดี เขาไม่ได้อยากดึงเรากลับไปในทางที่ไม่ดีด้วย เขาเห็นเราไปดี เขาก็อยากให้เราไปดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้

พอกลับมาครั้งนี้ผมเริ่มสู้กับตัวเอง ไม่ออกจากมูลนิธิ ไม่ไปไหน ไม่คบเพื่อน ตัดหายจากเพื่อนเก่าหมดเลย 6-7 เดือนไม่คุย แล้วก็สู้กับตัวเอง สู้จนชนะ การสู้กับตัวเองคือผมไม่สูบบุหรี่ แม้ว่ามีคนจะยื่นมาให้หรือเห็นคนสูบ ก็รู้สึกว่าอยากแต่ไม่เอา นี่คือกำลังต่อสู้กับความต้องการ แต่วันที่ผมชนะแล้วคือผมรู้สึกเหม็น คนเราจะรู้จักตัวเองเมื่อมีบททดสอบเข้ามา และเราผ่านมาได้”

ณ ตอนนี้ใน Level 40 ชีวิตเป็นยังไงบ้าง?
"มีความสุขดี และมีความสุขมากด้วย (หัวเราะ)"

เราเป็นพ่อลูกสองในวัย 40 ก่อนหน้านี้กลัวการมีครอบครัวไหม?

"พอพ้นโทษออกมาผมต้องการครอบครัว ผมต้องการภรรยา ภรรยาที่เป็นคู่ชีวิต ปรึกษากันได้จริงๆ เราต้องการใครสักคนที่อยู่เคียงข้างเรา เพราะฉะนั้นผมต้องการครอบครัว ผมมีความเชื่อเสมอว่าถ้ามีภรรยาที่ดีคอยสนับสนุนเรา มีครอบครัวที่สมบูรณ์ มันก็จะพาเราไปได้ไกล"

ทุก Level ที่เล่ามา อยากบอกอะไรกับคนฟัง?
"ผมมีความสุขมากครับ จบแล้ว (ยิ้ม)"