"ไผ่" แนะคุมเข้มนำเข้าสินค้าจากจีน

2024-03-12 17:46:22

"ไผ่" แนะคุมเข้มนำเข้าสินค้าจากจีน

Advertisement

"ไผ่" แนะคุมเข้มนำเข้าสินค้าจากจีน ช่วยผู้ประกอบการ’ สกัดของไร้คุณภาพมาแข่งขัน

เมื่อวันที่ 12 มี.ค.67  ณ ห้องประชุมใหญ่ พรรคพลังประชารัฐ  (พปชร.) ทีมยุทธศาสตร์ พปชร. ได้จัดกิจกรรมเวทีเสวนาวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ในหัวข้อ "จับเข่าคุยชี้ช่องรับมือสินค้าจีนทะลัก เสริมสร้างความได้เปรียบสินค้าไทย" โดยมี นายไผ่ ลิกค์  ส.ส.กำแพงเพชร กรรมการบริหาร  พปชร.  นายกานต์ กิติอำพล  อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. และนายรุ่งโรจน์ อาชาเทวัญ รองประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศและชายแดน

นายไผ่  กล่าวว่า ในฐานะเป็น  ส.ส. และมีการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน พ่อค้าในต่างจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง พบว่าได้รับข้อร้องเรียนจากพ่อค้า แม่ค้า และ SMEs ถึงผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาแข่งขัน ทำตลาดไทยมากขึ้น ในหลากหลายประเภทสินค้า ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าสินค้าไทยเนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำ ในกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของเล่น อิเล็กทรอนิกส์ (โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ) กลุ่มสินค้าเกษตร อาทิข้าว ผลไม้ ยางพารา เป็นต้น  ซึ่งสินค้าบางประเภทของจีนพบว่า ไม่มีคุณภาพและไม่ได้มาตรฐาน  จึงนับเป็นความเสี่ยงของผู้บริโภคในการใช้สินค้าที่จะไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน   สินค้าจีนที่เข้ามาแข่งขัน ทำตลาดในไทย มีราคาถูกกว่าสินค้าไทย เนื่องจากมีต้นทุนที่ต่ำ นี่คือสาเหตุที่ต้องพูดกันตรง ๆ ว่า ทำไมต้นทุนการผลิตถึงสู้กับจีนไม่ได้ รวมถึงเราต้องเข้มงวดในการนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น  ที่จะช่วยดูแลผู้ประกอบการไทยในการสกัดสินค้าไร้คุณภาพมาแข่งขัน หากยังให้มีการนำเข้าต่อเนื่อง จะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยถึงขั้นล้มละลายได้ เกิดปัญหาการว่างงาน ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว  ทั้งการเสียดุลการค้า เผชิญกับภาวะเงินทุนไหลออก การเติบโตเศรษฐกิจล่าช้า รายได้คนไทยลดลง ที่สำคัญสินค้าไทยอาจถูกลอกเลียนแบบเกิดการละเมิดลิขสิทธิ์มากขึ้น 


นายรุ่งโรจน์  รองประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และประธานคณะกรรมการส่งเสริมการค้าการลงทุนในประเทศและชายแดน กล่าวว่า จากการเก็บตัวเลขของสมาพันธ์ ฯ พบว่าในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนมีมูลค่า 2.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น15% โดยสินค้าจีนครองส่วนแบ่งการตลาดในประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงถึง 60%  ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าสินค้าไทยถึง 20% โดยเฉพาะการซื้อผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ซึ่งคนไทยกว่า 70% มีประสบการณ์ใช้สินค้าจากจีน  ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยสัดส่วนถึง 30% ต้องปรับตัว โดยการลดราคาขายสินค้าเพื่อแข่งขันกับจีน  ขณะที่ปี 2567 การนำเข้าสินค้าจากจีน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะราคาสินค้าถูก และยังมีความเชื่อว่าสินค้าจากจีน มีคุณภาพใกล้เคียงกับสินค้าไทย แม้จะไม่มีมาตรฐานรับรองก็ตามแต่ด้วยกลไกการตลาดปัจจุบัน มีช่องทางการจัดจำหน่ายหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งผ่านร้านค้าทั่วไป  ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด  ตลาดออนไลน์แพลตฟอร์ม อีคอมเมิรช์ เป็นต้นซึ่งยากต่อการควบคุม เพราะผู้ผลิตจีน เห็นช่องทางกระแสความนิยมของผู้บริโภคไทยรวมทั้งพ่อค้าคนไทยเอง มีการนำสินค้าจีนมารีวิวในเชิงบวก ทำให้สินค้าจีนเกิดความแพร่หลาย จึงมีการผลิตสินค้า และนำสินค้าใหม่เข้าสู่ท้องตลาดไทยอีกเป็นจำนวนมาก 

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า  ดังนั้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย ควรยกระดับคุณภาพสินค้า ให้สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ต่ำลง ผ่านการสนับสนุนพัฒนาธุรกิจ SMEs  ไม่ว่าจะเป็น การลดดอกเบี้ย สร้างแรงจูงใจทางภาษีสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงการพัฒนาด้านทักษะแรงงานฝีมือให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ สนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบอาชีพอิสระ มีการนำเทคโนโลยีในการเข้ามาพัฒนาสินค้าและบริการ วางระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพิ่มช่องทางและโอกาสทางการค้า  รวมถึงการรณรงค์และสนับสนุนการใช้สินค้าไทย กำหนดมาตรฐานนำเข้าสินค้า เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าจีนบางประเภท โดยเก็บภาษีนำเข้า เพิ่มในบางประเภท เพื่อให้สินค้าไทยมีโอกาสแข่งขันในตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น

ด้านนายกานต์  อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 5 กล่าวว่า ในฐานะคนรุ่นใหม่ และเป็นผู้สมัครพปชร. ได้มีโอกาสทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีการพบปะกับผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดไทย มองเห็นว่าโอกาสของสินค้าไทย ที่จะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องปรับตัว และพัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่าง โดยการสร้างจุดเด่น สามารถสร้างเรื่องราวของสินค้า หรือการสร้างแบรนด์ โดยอาศัยพื้นฐานทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทย ผ่านการดีไซน์สินค้าให้มีความทันสมัยตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยคำนึงถึงมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพ และการบริการที่สม่ำเสมอ คงที่ มุ่งเน้นสินค้าเฉพาะกลุ่ม(Niche Market)ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะเจาะจงพัฒนาสินค้าที่มีนวัตกรรม 

นายกานต์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องวางแผนทางการตลาด ขยายโอกาสในตลาดดั้งเดิมและ เพิ่มช่องทางการขายใหม่ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม โซเชียลมีเดียอาทิ เฟสบุ๊ค อินสตราแกรม ชอปปี้  และลาซาด้า เข้าร่วมงานแสดงสินค้า (โรดโชว์) ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างการจดจำให้กับแบรนด์สินค้าในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ดังนั้นในส่วนการผลิต จำเป็นต้องให้ความสำคัญเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หาแหล่งวัตถุดิบในราคาที่ประหยัดแต่ยังคงคุณภาพ เจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในกระบวนการผลิต เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง พร้อมทั้งเร่งศึกษาหาข้อมูลของคู่แข่ง เรียนรู้ทักษะการขายและการตลาดใหม่ๆ  โดยการติดตามการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนจากภาครัฐ การเข้าร่วมฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะในด้านต่างๆ สร้างความได้เปรียบและขีดความสามารถการพัฒนาธุรกิจเพื่อสร้างโอกาสการทำตลาดของสินค้าไทยในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลกต่อไป 

ในช่วงท้าย นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง    กล่าวสรุปว่า  ทีมยุทธศาสตร์พรรคจะนำข้อเสนอที่เกิดขึ้นจากเวทีสัมมนา ซึ่ง พปชร. จะนำไปสู่กลไกการแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยและป้องกันสินค้าจากจีน โดยเฉพาะประเด็นข้อกฎหมายให้มีความทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทั้งกฎหมายดูแลการทุ่มตลาด ทั้งมาตรการตอบโต้การอุดหนุน มาตรการปกป้องทางการค้า และมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ผ่านกลไกกระทรวงพาณิชย์และรัฐสภาต่อไป