"ชยพล" แจงเห็นชอบ ทร. ซื้อเรือฟริเกตลำใหม่

2024-03-09 15:56:17

"ชยพล" แจงเห็นชอบ ทร. ซื้อเรือฟริเกตลำใหม่

Advertisement

"ชยพล" แจงเห็นชอบ 1,700 ล้านซื้อเรือฟริเกตลำใหม่  ทร.แสดงความจำเป็นขาดยุทโธปกรณ์ปกป้องน่านน้ำ

เมื่อวันที่ 9 มี.ค.67 นายชยพล สท้อนดี ส.ส.กทม. เขต 8 พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 กล่าวถึงกรณี กมธ.งบประมาณปี 67 สัดส่วนพรรคก้าวไกล เห็นชอบต่อคำขออุทธรณ์ของกองทัพเรือในการจัดซื้อเรือฟริเกต วงเงิน 1,700 ล้านบาท ว่าในการประชุม กมธ.งบ 2567 กองทัพเรือได้ตั้งงบประมาณจำนวน 1,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของวงเงินโครงการ เพื่อขอซื้อเรือฟริเกตลำใหม่ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพเรือจะสื่อสารว่าเพื่อเป็นการซื้อเรือแฝดคู่กับเรือหลวงภูมิพลที่ซื้อมาจากประเทศเกาหลีใต้ โดยช่วงเวลาที่ผ่านมา กองทัพเรือยังไม่เคยสื่อสารในรายละเอียดเชิงลึกของโครงการจัดหาเรือครั้งนี้ จนกระทั่งในห้องอนุกรรมาธิการงบฯ ด้านความมั่นคง กองทัพเรือได้นำเอกสารมาชี้แจงถึงความจำเป็นและแนวคิดของการจัดหาเรือครั้งนี้ โดยได้ชี้แจงว่า ตามการประเมินของกองทัพเรือ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีเรือฟริเกตจำนวน 8 ลำเพื่อป้องกันน่านน้ำไทย โดยแบ่งพื้นที่ฝั่งอ่าวอันดามันและอ่าวไทยฝั่งละ 4 ลำ แต่ในปัจจุบัน กองทัพเรือไทยมีเรือฟริเกตใช้งานเพียง 4 ลำเท่านั้น ประกอบด้วย เรือหลวงรัตนโกสินทร์ อายุ 38 ปี, เรือหลวงนเรศวร อายุ 30 ปี, เรือหลวงตากสิน อายุ 29 ปี, เรือหลวงภูมิพล อายุ 5 ปี

จากการชี้แจงของกองทัพเรือ โดยปกติเรือรบฟริเกตจะใช้งานกันอยู่ที่ราว 30 ปีเท่านั้น แต่เนื่องจากไม่ได้รับอนุมัติงบประมาณให้ซื้อเรือฟริเกตใหม่ จึงจำเป็นต้องซ่อมบำรุงเรือให้ใช้งานต่อถึง 40 ปีถึงค่อยปลดระวาง ซึ่งเรือหลวงรัตนโกสินทร์กำลังจะถึงเวลาที่จะต้องปลดระวางในปี 2569 เท่ากับเหลือเวลาใช้งานอีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ทำให้ไทยเหลือเรือฟริเกตใช้งานเพียง 3 ลำจากความต้องการทั้งหมด 8 ลำ

การซื้อเรือฟริเกตครั้งนี้จะใช้เวลาในการต่อเรือประมาณ 4-5 ปี ซึ่งแปลว่าไทยจะได้รับเรือช่วงประมาณปี 2571 ถ้าได้รับอนุมัติโครงการในปีงบ 2567 และไทยจะเหลือเรือฟริเกตใช้งานเพียง 3 ลำเป็นระยะเวลา 2 ปีก่อนจะได้รับเรือลำใหม่ หากไม่ได้รับอนุมัติงบในปี 2567 นี้ มีความเป็นไปได้สูงว่ากว่าจะได้รับอนุมัติงบการจัดซื้ออีกทีอาจจะเป็นปีงบ 2569 เนื่องจากส่งคำขอสำหรับปีงบ 2568 ไม่ทัน ทำให้อาจได้รับเรือช้าถึงปี 2573 แปลว่าจะมีเรือฟริเกตในการป้องกันประเทศเพียง 3 ลำจากความต้องการ 8 ลำไปถึง 4 ปี เป็นความเสี่ยงทางความมั่นคง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับจำนวนยุทโธปกรณ์ของประเทศเพื่อนบ้านที่มีเรือระดับฟริเกตตั้งแต่ 3 จนถึง 14 ลำ ซึ่งหากเกิดภัยความมั่นคงทางทะเลขึ้นมาในช่วงเวลานี้ที่กองทัพเรือไม่มีเรือใช้งาน ก็คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวรัฐบาลเอง

นายชยพลกล่าวต่อว่า นอกเหนือจากเหตุผลด้านความมั่นคง ยังมีเหตุผลด้านประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การจัดหาเรือฟริเกตครั้งนี้ กองทัพเรือได้ชี้แจงในห้องอนุกรรมาธิการงบฯ ด้านความมั่นคงว่าคำนึงถึงเรื่อง Offset Policy เป็นสำคัญ เพราะมีความตั้งใจจะให้เรือลำนี้ต่อในไทย โดยให้บริษัทต่อเรือในไทยทำสัญญาความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อรับองค์ความรู้ในการต่อเรือ โดยคาดการณ์ว่าจะเกิดการจ้างงานภายในประเทศมากกว่า 1.2 ล้านชั่วโมงทำงาน เกิดการจัดซื้อพัสดุในประเทศมากกวว่า 1,000 ล้านบาท และซื้อเหล็กต่อเรือไม่น้อยกว่า 550 ตัน โดยประเทศต้นทางเทคโนโลยีที่เข้ามาเสนอแบบเรือให้กองทัพเรือมีทั้งจากเนเธอร์แลนด์ เยอรมัน อิตาลี เกาหลีใต้ และสเปน  การต่อเรือครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกที่ไทยจะได้ต่อเรือที่มีขนาดมากกว่า 4,000 ตัน ซึ่งปัจจุบันโรงต่อเรือประเทศไทยมีศักยภาพในการต่อเรือขนาดเพียง 2,000 ตันเท่านั้น จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้อุตสาหกรรมการต่อเรือภายในประเทศ สามารถรองรับการผลิตเรือฟริเกตในการใช้งานเองหรือขายต่อให้ประเทศเพื่อนบ้านได้ในอนาคต นอกจากนี้ การต่อเรือครั้งนี้ จะเป็นการต่อเรือแบบโมดูล หรือก็คือการแบ่งส่วนเรือให้อู่ต่อเรือหลายเจ้าในไทยมีส่วนร่วมในการสร้าง แล้วค่อยนำมาประกอบเข้าด้วยกันในภายหลัง ทำให้ผู้ประกอบการสัญชาติไทยหลายรายได้รับองค์ความรู้จากโครงการครั้งนี้ด้วย

กองทัพเรือเองได้ยืนยันในห้องอนุกรรมาธิการฯ ด้านความมั่นคง ว่าโครงการจัดซื้อเรือฟริเกตครั้งนี้จะส่งผลทำให้ไทยสามารถ ต่อเรือเอง ซ่อมเรือเอง สร้างเรือเอง และสามารถผลิตขายต่อได้ในอนาคต กองทัพเรือยืนยันว่าโครงการนี้จะถ่ายทอดองค์ความรู้ระดับสูงให้แรงงานไทย ไม่ใช่เป็นเพียงการจ้างงานแบบ low skill เท่านั้น และยืนยันว่าจะแตกต่างจากกรณีของเรือดำน้ำอย่างแน่นอน รวมถึง ผบ.ทร. เองก็ได้ยืนยันว่าจะพิจารณาเรื่องการจ่ายมูลค่าโครงการเป็นผลผลิตอื่นๆ ของประเทศไทยด้วยเช่นกัน

นายชยพล กล่าวอีกว่า จากการชี้แจงครั้งนี้ เราจึงมองเห็นความสำคัญของตัวโครงการ ทั้งจากปัจจัยด้านความมั่นคงที่เห็นภาพชัดจากข้อมูลที่กองทัพเรือได้นำมาชี้แจง ว่าเราขาดยุทโธปกรณ์ในการปกป้องน่านน้ำไทยจริง ไม่ใช่สถานการณ์การเสริมสร้างรั้วความมั่นคงเช่นการซื้อยุทโธปกรณ์ครั้งอื่น ๆ แต่เป็นสถานการณ์ที่ไทยเราไม่มีรั้วในการปกป้องน่านน้ำทะเลไทยแล้ว จึงจำเป็นต้องเร่งจัดซื้อให้ทันการใช้งาน และลดช่องว่างเวลาที่ไทยจะอ่อนแอด้านการปกป้องน่านน้ำให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ ปัจจัยด้านความเติบโตทางเศรษฐกิจก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเงินทั้งหมด 17,000 ล้านบาทจะถูกใช้เพื่อจุดประกายอุตสาหกรรมป้องกันประเทศด้านการต่อเรือให้เติบโตขึ้นจริงในประเทศ และจะทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพายุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ รวมไปถึงโอกาสในการผลิตยุทโธปกรณ์ขายให้ต่างประเทศต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับที่ประเทศเกาหลีใต้ทำอยู่  ด้วยเหตุผลนี้เอง การลงทุน 17,000 ล้านบาทจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การจ้างงาน การสร้างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และเปิดโอกาสให้ไทยสามารถเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยุทโธปกรณ์ในการส่งออกต่อได้ในอนาคต เราจึงมองว่าการลงทุนครั้งนี้ หากกองทัพเรือทำได้จริงตามแนวคิดแนวทางที่วางไว้ จึงสมควรแก่การสนับสนุนให้เกิดขึ้นจริงโดยเร็ว