"ชนินทร์" มั่นใจนโยบายที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ สร้างเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ

2024-01-10 11:20:50

 "ชนินทร์" มั่นใจนโยบายที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ สร้างเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ

Advertisement

"ชนินทร์" เผยรัฐบาลเตรียมเปลี่ยน ส.ป.ก.4-01 เป็น "โฉนดเพื่อการเกษตร"  คิกออฟ 15 ม.ค. มั่นใจนโยบายที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ สร้างเศรษฐกิจ สร้างอาชีพอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 10  ม.ค.67 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวถึงการแก้ปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนของรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ผ่านนโยบายที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ ว่ารัฐบาลมีเป้าหมายในการกระจายกรรมสิทธิ์ที่ดินทำกินให้พี่น้องประชาชนจำนวน 50 ล้านไร่ เพื่อเป็นต้นทุนในการประกอบอาชีพ และเป็นหลักทรัพย์ในการเข้าถึงเงินทุน ให้ประชาชนมีโอกาสในการลงทุนประกอบธุรกิจหรือทำเกษตรกรรมในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนและภาคภูมิใจ โดยที่ผ่านมาได้เริ่มผลักดันนโยบายนี้ไปแล้วผ่านที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์  เป็นประธาน ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่บูรณาการการทำงานเรื่องที่ดินในทุกๆกระทรวงเข้าด้วยกัน

นายชนินทร์ กล่าวว่า การจะบรรลุเป้าหมายนโยบายที่ดินทำกิน 50 ล้านไร่ ของพรรคเพื่อไทยนั้น จำเป็นต้องทำงานเชิงนโยบายกับที่ดินของ 3 กระทรวงหลัก ได้แก่ ที่ดิน ส.ป.ก.4-01  ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ดิน สค.1 ของกระทรวงมหาดไทย และที่ดินป่าไม้ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการศึกษาและผลักดันการแก้ไขกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 15 ม.ค.นี้จะเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญที่นายภูมิธรรม จะเป็นประธานการเปิดกิจกรรมหลัก 2 กิจกรรมคือ การ Kick-off
เปลี่ยนเอกสาร ส.ป.ก.4-01  เป็น  "โฉนดเพื่อการเกษตร" แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่จัดโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกิจกรรมการเปิด “ศูนย์ประสานและจัดการเรื่องราวร้องทุกข์” ของสำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ที่จะเป็นอีกกลไกสำคัญในการเร่งแก้ปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินให้พี่น้องประชาชนอย่างตรงจุดและรวดเร็ว

“รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน และพร้อมจะช่วยสนับสนุนให้กรรมสิทธิ์ที่ดินในรูปแบบต่างๆ มีศักยภาพในการใช้เป็นต้นทุนในการทำมาหากินมากขึ้น แต่ยังดำรงไว้ซึ่งการรักษาพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไปพร้อมๆกัน โดยในเบื้องต้นจะเร่งขับเคลื่อนการแก้กฎหมายในระดับกระทรวงต่างๆที่ทำได้ก่อน และจะมีการผลักดันการแก้ไขกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติในสภาต่อไป” นายชนินทร์กล่าว