ฟ้องศาลปกครองสั่ง “รฟม.-อิตาเลียนไทย”หยุดตัดต้นไม้

2018-03-12 12:10:09

ฟ้องศาลปกครองสั่ง “รฟม.-อิตาเลียนไทย”หยุดตัดต้นไม้

Advertisement

เครือข่ายภาคประชาชนรักต้นไม้ รวมตัวฟ้องศาลปกครอง สั่ง รฟม.- อิตาเลียนไทย หยุดตัดและย้ายต้นไม้ตลอดแนวรถไฟฟ้าทั้ง 11 สายทั่ว กทม.จนกว่าจะแก้ไขให้ถูกหลักวิชาการ



เมื่อวันที่ 12 มี.ค. 5 เครือข่ายภาคประชาชนที่รักต้นไม้ ประกอบไปด้วย เครือข่ายต้นไม้ในเมือง กลุ่มบิ๊กทรี กลุ่มจตุจักรโมเดล ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเพจกรุงเทพเดินสบาย ได้มอบหมายให้สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน โดยนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมฯ เป็นผู้ยื่นต่อศาลปกครอง ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม. และ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน ) หยุดการตัด การย้าย หรือการกระทำใดๆ ต่อต้นไม้ที่อยู่ในแนวการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าทุกสายใน กทม. จำนวนทั้งสิ้น 11 สาย





การยื่นฟ้องครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากกรณีการตัดต้นไม้อย่างผิดวิธีและไม่ได้รับอนุญาต ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดิเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริเวณพื้นที่หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายต้นไม้ในเมืองได้เคยร้องเรียนเรื่องการตัดต้นไม้ผิดวิธีในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าไปยัง กทม.จนเกิดการนำนักวิชาการด้านการล้อมย้ายต้นไม้ มาบรรยายให้ความรู้แก่บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างทุกรายในโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าไปแล้วนั้น แต่ 2 เดือนถัดมาบริษัทอิตาเลียนไทย ก็ตัดต้นไม้ผิด ที่หน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าทั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และ รฟม ยังไม่มีแนวทางการปฎิบัติต่อต้นไม้ในเมืองที่ถูกต้องดีพอ คาดการณ์ว่าตลอดแนวการก่อสร้างรถไฟฟ้าทั้ง 11 เส้นทาง จะมีต้นไม้ในเมืองที่ต้องได้รับผลกระทบคือถูกตัดหรือย้ายออกเป็นจำนวนนับพันหรืออาจจะถึงหมื่นต้น ฉะนั้นทางกลุ่มจึงมีความจำเป็นต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อใช้อำนาจศาลคุ้มครองต่อการกระทำหรือใช้อำนาจของ รฟม.และบริษัท อิตาเลียนไทย อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย



ทั้งนี้หากศาลปกครองได้เมตตาสั่งให้ทั้ง 2 หน่วยงานหยุดการทำงานใดๆ ต่อต้นไม้แล้ว ทางเครือข่ายต้นไม้ในเมืองและกลุ่มบิ๊กทรี พร้อมที่จะทำหน้าที่ประสานงานเพื่อจัดหาแนวทางและมาตรการแก้ไข ที่จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่สำหรับโครงการก่อสร้างใดๆ ในเมืองใหญ่ที่จะสามารถอยู่ร่วมกับต้นไม้ในเมืองได้อย่างยั่งยืน