หายหน้าจากวงการบันเทิง ผันตัวไปเป็นกูรูด้านสุขภาพอย่างเต็มตัว สำหรับสาวหน้าม้าเด็กแนวในตำนาน "เมจิ อโณมา ศรัณย์ศิขริน" ที่มุ่งมั่นเป็นสายไตรกีฬามีไลฟ์สไตล์ออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ลบภาพจำความหวานกับสามีฝรั่ง "เควิน คุก" นักธุรกิจชาวออสเตรเลีย จนถูกเม้าท์ถึงความสัมพันธ์ว่ารุ่งหรือร่วง ล่าสุดเจ้าตัวขอตั้งโต๊ะเคลียร์ผ่าน รายการโต๊ะหนูแหม่ม กับพิธีกรตัวแม่ "หนูแหม่ม สุริวิภา" เคลียร์ชัดทุกประเด็นที่ห่างจากสื่อไปนาน
ทุกวันนี้ไม่เห็นรับงานในวงการเลย?
"เมจิช่วยงานสามีอยู่ค่ะ เป็นบริษัทจำหน่ายยาเกี่ยวกับพวกโรคข้อกระดูก โรคข้อต่อข้อกระดูกของหมากับแมว แล้วก็จัดส่งยาให้กับโรงพยาบาลสัตวแพทย์ทั่วไทย แล้วก็จะมีสาขาอยู่ทั่วเอเชียแล้วก็ โกลโบลเน็ตเวิร์คทั่วโลก งานค่อนข้างจะเยอะมาก"
แล้วเมจิช่วยงานสามีในด้านไหนบ้าง?
"เอาจริงๆคือเราช่วยทุกด้านดีกว่า เป็นเจ้าของบริษัท ด้วย แล้วก็ดูในเรื่องของกิจกรรมต่างๆ ดูในเรื่องความสงบเรียบร้อยของบริษัท หลังบ้านทั้งหมดของบริษัทเราจะดูในส่วนของที่เค้าให้เราช่วยดูแล อย่างเช่นการบริหารงานต่างๆ อยู่เมืองไทยเป็นหลักกับสามี"
เดี๋ยวนี้ไม่เห็นลงรูปคู่กันเลยความสัมพันธ์เป็นยังไง?
"คือเค้าไม่ชอบค่ะ เวลาจะขอถ่ายรูปที มีหลายที่ที่ไปอัพโหลดรูปในไอจี เค้าจะบอกว่าไม่เอารูปนี้ลบเลย คือแกจะเป็นคนชอบอยู่อะไรเงียบๆ เป็นโลกส่วนตัวมากกว่า จะไม่ค่อยออกสู่สาธารณะเท่าไร"
อายุห่างกันขนาดนี้ไปตกหลุมรักกันได้ยังไง?
"นับมาถึงตอนนี้ก็แต่งงานกันมาได้ 12 ปี อายุห่างกัน 21 ปี มันเป็นเวลาเหมาะที่มาเจอกันค่ะ"
อายุห่าง ต่างภาษา มันปรับตัวกันยังไงบ้าง?
"เป็นคำถามที่ดีมากเลยค่ะ ทุกคนอาจจะมองว่าอายุห่างกัน 21 ปี แต่ถ้าเมจิไปเจอเขาตอนอายุ 20 และเค้า40 อันนั้นมันห่าง ด้วยความที่ 20 เรามันยังดูเป็นเด็ก แต่ 40 มันคือความเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เรามาเจอตอนที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้วเราผ่านอะไรหลายอย่างมามาก เป็นช่วงที่เราอิ่มตัวกับชีวิตมา และเราก็ไม่ได้มองทุกอย่างเป็นความรักปั๊ปปี้เลิฟเหมือนวัยรุ่น คือเรามองในเรื่องของความมั่นคงในชีวิต มองในการใช้ชีวิตแบบคู่แท้เพื่อนแท้ มากกว่าความหวือหวา เมจิเลยคิดว่าการห่างกัน 21 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เรามาเจอกันตอนที่เราอิ่มตัว มันเป็นเวลาเหมาะที่เรามาเจอและคุยกัน และเราทั้งคู่เป็นคนที่ชอบ เปิดหาอะไรหาอะไรใหม่ๆ เป็นคนไม่หัวโบราณ มันเลยทำให้เรากลายเป็นคนที่มีเคมีในการคุยเหมือนกัน มันเลยเหมือนเป็นเพื่อนกันทุกวันนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เหมือนเป็นคู่เพื่อนแท้กัน ในวันที่เขารู้สึกแย่ ท้อแท้ไม่มีใครเค้ามีเรา หรือในวันที่เราท้อแท้อะไรบางอย่างเราก็ยังมีเขา คือไม่ได้เหมือนเค้าดูแลเราอย่างเดียว มันก็มีช่วงเวลาที่เราต้องดูแลเขา ในหลายๆเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้"
ขอย้อนถามไปเจอกันรู้จักกันได้ยังไง?
"คือตอนนั้นเค้าอยากจะมาลงทุนในไทย และพอดีเพื่อนเค้าก็รู้จักกับเมจิ เค้าหรืออยากลองมาเจอกับเมจิ เพราะว่าเมจิรู้จักคนเยอะนู้นนั้นนี่ ก็เลยคุยกันพอคุยกันวันแรกเค้าก็จีบเราเลย เรารู้สึกได้อ่ะค่ะ ก็ซื่อตรงไม่อ้อมค้อมก็เลยคุยกัน เค้าก็มาในเวย์ผู้ใหญ่อะค่ะไม่ได้จีบกันแบบเด็กๆ คือเริ่มคุยกันแบบถูกคอเป้าหมายในชีวิตตรงกัน รวมไปถึงเรื่องการมองโลกเราอาจจะมองโลกคล้ายๆกัน"
แล้วเรื่องออกกำลังกาย มีแนวทางตรงกันมั้ย?
"คือแกชอบเล่นกอล์ฟ คือถ้ากีฬาเล่นมองเป็นงานอดิเรกก็ได้ แต่ถ้ามามองในเรื่องของสุขภาพระดับมันยังไม่ถึง คือเมื่อ3ปีที่แล้วแกเป็นสโตรค อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาแล้วเป็น ลุกขึ้นมาแล้วก็ล้มหัวฟาด แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่เมจิจะไปแข่งไตรกีฬาอยู่พอดี เค้าเลยไม่บอกว่าเค้าเป็นอะไรเค้าบอกว่าเค้าหน้ามืดแต่พอรู้ที่หลังว่าเค้าเป็นสโตรค แล้วพอมาเช็คกับหมอก็เลยรู้ว่าเขามีลิ่มเลือดในสมอง เปนก้อนเท่าประมาณลูกอม แล้วก็อาจจะมีภาวะอันตราย ถ้าไม่เปลี่ยนในเรื่องของไลฟ์สไตล์การกิน หรือลูเทีนในการออกกำลังกาย เพราะอาจจะมีในเรื่องของเส้นเลือดในสมองแตก คอเรสเตอเรอร์สูง ไขมันพอกตับก็เยอะ พอเจอจุดปัญหาชีวิตแบบนี้เค้าก็เลยมาปรึกษาเราในเรื่องการกิน เปลี่ยนทุกอย่างในการดูแลสุขภาพ เปลี่ยนพฤติกรรมในการกิน ก็เริ่มปรับตัวเองมากขึ้น จากไม่สนใจเลย"