พรรคการเมืองอิตาลี ได้เวลาต่อรองตั้งรัฐบาล

2018-03-06 10:05:55

พรรคการเมืองอิตาลี ได้เวลาต่อรองตั้งรัฐบาล

Advertisement

หัวหน้าพรรคไฟว์ สตาร์ มูฟเมนต์ ซึ่งเป็นพรรคที่ได้คะแนนเลือกตั้งสูงสุดเพียงพรรคเดียว ประกาศพร้อมเจรจากับทุกพรรค เพื่อจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ

นายลุยกิ ดี ไมโอ วัย 31 ปี หัวหน้าพรรคไฟว์ สตาร์ มูฟเมนต์ ซึ่งมีแนวนโยบายต่อต้านสถาบัน แถลงเมื่อวานนี้ว่า พรรคไฟว์ สตาร์ พร้อมเปิดการเจรจากับทุกพรรคการเมือง หลังพรรคได้คะแนนมากที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่ได้มีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ โดยเขากล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า พรรคไฟว์ สตาร์ ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี 2552 และได้รับอานิสงส์จากกรณีที่ประชาชนไม่พอใจปัญหาคอร์รัปชั่นและความทุกข์ยากจากปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมที่จะรับผิดชอบในหน้าที่บทบาทผู้นำ


ทั้งนี้ อิตาลีเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยาวนานของความไร้เสถียรภาพทางการเมือง หลังผลการเลือกตั้งที่ไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมาก เนื่องจากประชาชนรังเกียจพรรคการเมืองหน้าเดิม ๆ และหันไปลงคะแนนให้พรรคการเมืองแนวต่อต้านสถาบันและกลุ่มขวาจัด มากเป็นประวัติการณ์

จากผลการนับคะแนนมากกว่าร้อยละ 75 ของหน่วยเลือกตั้งทั้งหมด เกือบเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ไม่มีพรรค หรือกลุ่มการเมืองใด สามารถตั้งรัฐบาลบริหารประเทศได้ตามลำพัง และมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รัฐบาลจากพรรคการเมืองกระแสหลัก ซึ่งน่าจะสร้างความปั่นป่วนสำหรับสหภาพยุโรปอีก


หุ้น, พันธบัตร และค่าเงินยูโร อ่อนค่าและปรับตัวลดลงทั้งหมด เพราะมีโอกาสสูงที่รัฐบาลใหม่อิตาลีจะนำโดยพรรคที่ต่อต้านยูโร ซึ่งให้คำมั่นว่าจะปรับลดงบประมาณรายจ่าย แต่ดิ ไมโอ กล่าวว่า บรรดานักลงทุนไม่มีเหตุผลต้องกังวล



แม้ว่า ผลการเลือกตั้งทั้งหมดจะยังไม่มีการประกาศจนกว่าจะถึงบ่ายวันจันทร์ตามเวลาในไทย แต่กลุ่มการเมืองกลางขวา ก็คาดว่าจะได้คะแนนร้อยละ 37 และพรรคไฟว์ สตาร์ ได้ร้อยละ 31


ส่วนนายมัตเตโอ เรนซี หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยอิตาลี ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้วเมื่อวานนี้ หลังจากพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพในการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยนายเรนซี วัย 43 ปี นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดที่แล้ว กล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่า พรรคจะไม่ทำข้อตกลงใด ๆ กับพรรคการเมืองที่มีแนวคิดรุนแรงหลังการเลือกตั้ง และจะไปเป็นฝ่ายค้านในรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งนี้ แม้ว่า เศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวได้เล็กน้อย แต่พรรคร่วมรัฐบาลกลางซ้ายของพรรคประชาธิปไตย ก็ได้คะแนนเลือกตั้งเพียงร้อยละ 22 เท่านั้น เนื่องจากประชาชนไม่พอใจนโยบายรับผู้อพยพกว่า 6 แสนคน ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา