"เศรษฐา" ประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

2023-05-05 21:49:20

"เศรษฐา" ประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

Advertisement

"เศรษฐา" ประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30  เป็นผู้นำแห่งความเปลี่ยนแปลง เตือนต้องอย่าให้ซ้ำรอยปี 62 พลาดไป 17 ที่นั่งจนประเทศตกสู่หลุมดำ ต้องชวนกา พท. ให้แลนด์สไดล์ไปด้วยกัน

เมื่อวันที่ 5  พ.ค.66  พรรคเพื่อไทย (พท.)  เปิดแคมเปญใหญ่สู้ศึกเลือกตั้ง 2566 "เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ ประเทศเปลี่ยนทันที" โดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวแสดงความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่ 30 พร้อมพาประเทศไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิทธิเสรีภาพ และพาไทยกลับไปยืนบนเวทีโลกอย่างสง่างาม เพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานในวันข้างหน้า

นายเศรษฐา เริ่มต้นกล่าวว่าในวันนี้ ตนเองรู้สึกเห็นใจคนรุ่นใหม่ และคน กทม. ที่ต้องต่อสู้อย่างปากกัดตีนถีบ เติบโตมาโดยที่ไม่มีโอกาสได้ทำตามความฝัน เพราะมีปัญหารอบตัวเต็มไปหมดทั้งค่าครองชีพที่สูงสวนทางรายได้ที่ลดลง สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ตลอดจนกฎระเบียบและกฎหมายต่างๆ สิ่งเหล่านี้ขัดขวางความฝันของคนรุ่นใหม่คนกรุงเทพที่อยากจะเป็น  ถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ สิ่งที่ต้องทำจะต้องทำหลายอย่างเริ่มต้นไปในเวลาเดียวกันเพราะปัญหาวันนี้รุมเร้าเข้ามาทุกด้าน เริ่มต้นจากเรื่องปากท้อง ค่าน้ำค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจว่า ค่าไฟแพงขึ้นทุกวันทำไมเขาไม่แก้ แต่พอจะเลือกตั้งค่อยคิดจะมาแก้ ยังไม่นับเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของคนแรงงานที่อยู่กับที่แทบไม่ได้ขยับขึ้น ทั้งที่รายจ่ายและค่าครองชีพ เรื่องน้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์ ซึ่งเราจะผลักดันเรื่อง พ.ร.บ.อากาศสะอาดให้ทุกคนได้สิทธิพื้นฐานด้านการหายใจ นอกจากนี้ เรื่องสิทธิเสรีภาพ ตนน้อยใจเมื่อได้ยินนักการเมืองผู้ใหญ่ไล่คนออกนอกประเทศที่เขาอยากมีส่วนร่วม ถ้าเขาไปได้หมายความว่าเขาเป็นคนมีศักยภาพ และประเทศเรากำลังสูญเสียทรัพยากรสำคัญไป ดังนั้น เราควรให้เสรีภาพ ให้พื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยแสดงความเห็นในกรอบของกฎหมาย และถ้ารัฐบาลไหนบอกว่าลูกหลานชังชาติ รัฐบาลนั้นต่างหากควรออกไป และเรื่องนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับการเกณฑ์ทหาร เพราะการเกณฑ์ทหารคือการลิดรอนสิทธิของพี่น้องที่เขาควรได้ไปเป็นครู วิศวกร แพทย์ หรือชาวสวนชาวไร่ ไม่ใช่ต้องมาถูกบังคับ ดังนั้น ควรยกเลิกเกณฑ์หาร เปลี่ยนเป็นสมัครใจเพื่อสร้างทหารมืออาชีพที่มีเกียรติ

ในส่วนของนโยบายการพัฒนา กทม.  นั้น  นายเศรษฐา กล่าวว่า  กทม.   เป็นศูนย์กลางความเจริญ เศรษฐกิจ ความหลายหลายทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ รวมถึงเรื่องเสรีภาพและความเท่าเทียม ผู้นำประเทศที่ผ่านมาไม่เคยสนใจไปพูดคุยเจรจาการค้าการลงทุนกับผู้นำหรือนักลงทุนต่างประเทศเพื่อเปิดตลาดหารายได้ใหม่ให้ประเทศเลย ยกตัวอย่างไนจีเรีย ที่เขากำลังจะเป็นประเทศมหาอำนาจเพราะมีประชากรมากถึง 300 ล้านคนในอีก 10 ปีข้างหน้าเราต้องคิดว่าเราจะค้าขายอะไรกับเขา ไม่ใช่มีหน้าที่แค่ไปเชิญมาประชุมกินผัดไทถ่ายภาพแล้วก็กลับ ประเด็นเรื่องกฎหมาย ที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน ก็เป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องแก้ที่ระบบราชการ เราจะทำราชการให้เป็นรัฐบาลและราชการดิจิทัล มีจุดบริการประชาชน One stop service ยกตัวอย่าง ทูตอิสราเอลท่านเล่าว่า มีนักลงทุนสนใจมาสร้างโรงงานด้าน Food tech ธุรกิจเนื้อที่สะกิดจากวัวและมาเจริญเติบโตในแลป ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ตลาดโลกต้องการ เขายื่นเรื่องขออนุญาต อย.จนเขารอไม่ได้ต้องย้ายฐานไปตั้งโรงงานที่สิงคโปร์ นี่คือปัญหาพื้นๆ ที่เจอ ที่เราต้องแก้ นอกจากนี้ ในด้านต่างประเทศ ได้พบทูตมากกว่า 23 ประเทศ เขาต่างบอกว่าอยากมาลงทุนในประเทศไทย แต่เขาคอยดูก่อนว่า ใครจะเป็นรัฐบาล เตรียมจะทำจดหมายเชิญไปเยือนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนด้านการค้า ซึ่งคณะพรรคเพื่อไทยหลายท่านก็ได้พูดคุยหารือกันหลายเรื่องรวมถึงเรื่องประมง ICC ซึ่งเราก็จะเจรจาแก้ไขปัญหาเมื่อเป็นรัฐบาล

ในเรื่องการกระจุกตัวของชุมชนเมือง นายเศรษฐา ให้ความเห็นว่า ความเจริญต้องไม่กระจุกอยู่แต่ต้องกระจายออกไป เริ่มต้นที่นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทที่จะเริ่มต้นกระจายเม็ดเงินสร้างความเจริญให้ท้องถิ่น ไม่ใช่แค่จังหวัดใหญ่ แต่รวมถึงจังหวัดรองทั้งด้านเศรษฐกิจและท่องเที่ยว และเมืองควรมีระบบขนส่งสาธารณะในราคาที่เหมาะสม คือนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท เพราะทุกวันนี้ราคาสูงคนชั้นกลางพอจ่ายแต่คนชั้นล่างไม่มีโอกาสได้เข้าถึงทั้งที่ขนส่งสาธารณะ ควรเป็นสาธารณะให้ทุกคนได้จริง ท้ายสุด คือเรื่องจุดยืนของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก มีเอกราช แต่เราต้องมีผู้นำมีความสามารถออกไปเจรจาไม่ใช่แค่การค้า แต่ไปแสดงจุดยืนบนเวทีโลกได้ทั้งในเรื่องแนวทางสันติภาพ การไม่รุกรานประเทศอื่นรวมถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย เราไม่มีเวลาให้ใครก็ตามเข้ามาลองของ ต้องเป็นผู้นำตัวจริงเท่านั้น ถึงเวลาที่เราต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ พรรคที่มีนโยบายเข้าใจปัญหาประชาชน วันนี้ผมมีความพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย แต่ผมไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ผมมายืนตรงนี้ มาที่นี้ ผมอยากเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำซึ่งความเปลี่ยนแปลง ถ้าผมไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ผมไม่เป็นดีกว่า ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะนำมาซึ่งอนาคตที่ดีกว่าของลูกหลานทุกคน ประสบการณ์ 30 ปีในวงการธุรกิจสร้างบริษัทจนเป็นแนวหน้าของประเทศ ผมมีความพร้อม ผมมาอยู่พรรคเพื่อไทยที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน วันนี้พรรคเพื่อไทยมีทั้งคนที่มีประสบการณ์ มีคนรุ่นใหม่ที่เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง 4 ปีที่แล้วเราพลาดไป 17 ที่นั่ง เป็นจุดเปลี่ยนประเทศที่ทำให้ประเทศตกสู่หลุมดำ จนทำให้ จนแล้ว จนอยู่ จนอีก วันที่ 14 พ.ค. พรรคเพื่อไทย พร้อมทุกมิติ เป็นวันคืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชนคนไทยทุกคน นโบายดีดีที่พูดไปจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ได้รับการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์
.