บริจาคเลือดช่วยชีวิต

2023-05-03 15:18:31

บริจาคเลือดช่วยชีวิต

Advertisement

บริจาคเลือดช่วยชีวิต

การบริจาคเลือด เป็นเรื่องที่ดี เพราะเลือดที่นำไปบริจาคสามารถช่วยคนป่วยที่ต้องการเลือดได้ ซึ่งการบริจาคเลือดไม่เป็นอันตรายกับผู้บริจาค เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีปริมาณเลือดประมาณ 17-18 แก้วน้ำ แต่ร่างกายใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนที่เหลือจึงสามารถบริจาคให้ผู้อื่นได้

คุณสมบัติผู้บริจาคเลือด

ผู้บริจาคต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปี สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงพร้อมที่จะ บริจาคเลือด

– ผู้บริจาคเลือดต้องมีอายุ 17 ปี หากอายุไม่ถึง 18 ปี ต้องมีเอกสารยินยอมจากผู้ปกครอง แต่เมื่ออายุ 18 ปี สามารถตัดสินใจ บริจาคเลือด ได้ด้วยตัวเอง

– ผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 60-65 ปี และเคยบริจาคต่อเนื่องมาตลอด ให้บริจาคได้ทุก 3 เดือน

– ผู้บริจาคที่มีอายุมากกว่า 65-70 ปี และเคยบริจาคต่อเนื่องมาตลอด ให้บริจาคได้ทุก 6 เดือน และต้องมีการตรวจนับจำนวนของเม็ดเลือดทุกชนิดทุกครั้ง

สุขภาพร่างกายแข็งแรงและนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ หากนอนหลับไม่เพียงพอ แต่ไม่มีอาการอ่อนเพลียใด ๆ หรือสุขภาพร่างกายพร้อมในวันที่มา บริจาคเลือด ก็จะพิจารณาให้บริจาคได้โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องจำนวนชั่วโมงของการนอน

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงก่อนบริจาคเลือด เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ก่อนมาบริจาคเลือดไม่ถึง 3 ชั่วโมง จะมีผลทำให้พลาสมาขาวขุ่น ไม่สามารถนำเลือดไปบริจาคให้ผู้ป่วยได้ 

กรณีที่มีการตั้งครรภ์และให้นมบุตร เลือดของหญิงตั้งครรภ์ มีสารอาหารต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับทารกในครรภ์ ควรเก็บเลือดเอาไว้ให้เพียงพอสำหรับทารก เพื่อเป็นเลือดสำรองในร่างกาย เพราะขณะคลอดอาจมีการเสียเลือดเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการบริจาคเลือดอาจทำให้เกิดภาวะเลือดจาง 

ผู้หญิงที่กำลังเป็นประจำเดือน สามารถบริจาคเลือดได้ ถ้าขณะที่เป็นประจำเดือนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ประจำเดือนมาไม่มากกว่าปกติ ไม่มีอาการอ่อนเพลียใด ๆ ส่วนของผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว สามารถบริจาคเลือดได้หากสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์และไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ

ผู้ที่มีการสักหรือเจาะผิวหนัง เช่น การเจาะหู หากเจาะด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรค โดยผู้ชำนาญและเป็นเข็มหรือวัสดุที่ใช้ครั้งเดียวก็ปลอดภัยจากการติดเชื้อ แต่ก็ควรเว้นระยะเวลาให้แผลอักเสบจากการเจาะหูให้หายสนิท อย่างน้อย 7 วัน ก่อนจะเข้าบริจาคเลือด

หากมีอาการท้องเสีย ท้องร่วง ควรงดบริจาคเลือดก่อนอย่างน้อย 7 วัน เพราะผู้บริจาคจะยังมีอาการอ่อนเพลียเพราะสูญเสียน้ำในร่างกาย หากฝืนบริจาคเลือด อาจมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้นและมีอาการเป็นลมหน้ามืดได้ ส่วนผู้ป่วยที่รับเลือดอาจได้รับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอาการท้องร่วงที่อาจติดต่อทางกระแสเลือดได้

มีอาการน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบสาเหตุในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา การที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้น อาจมีสาเหตุมาจากโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคเอดส์ ซึ่งทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงสภาวะทางจิตใจที่มีความวิตกกังวลหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงควรหลีกเลี่ยงการบริจาคเลือดไปก่อน

ผู้บริจาคเลือดที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่หรือผ่าตัดเล็ก

– ผู้บริจาคเลือดที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ คือ การผ่าตัดที่ต้องมีการใช้ยาสลบหรือให้ยาชาเข้าไขสันหลัง มีการสูญเสียเลือดจำนวนหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาสร้างทดแทนขึ้นโดยเฉพาะการผ่าตัดใหญ่อาจเสียเลือดมาก เนื้อเยื่อของร่างกายต้องใช้เวลาและสารอาหารในการซ่อมแซม จึงควรเว้นการบริจาคเลือด 6 เดือน

– ผู้บริจาคเลือดที่ได้รับการผ่าตัดเล็ก คือ การผ่าตัดที่ไม่ต้องใช้ยาสลบ แต่ใช้การระงับความรู้สึกเฉพาะที่ เช่น ใช้ยาชาเฉพาะส่วนและไม่ต้องมีการช่วยหายใจ ควรเว้นการบริจาคเลือดอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้ผู้บริจาคมีสุขภาพแข็งแรงพร้อมที่จะบริจาคเลือดและลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการผ่าตัด 

สิ่งที่เป็นข้อควรรู้ก่อนบริจาคเลือด

ผู้ที่ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และรักษารากฟัน ต้องเว้นอย่างน้อย 3 วัน รวมไปถึงการรักษาอื่น ๆ ในช่องปากที่ก่อให้เกิดบาดแผลหรือการอักเสบ อาจมีภาวะติดเชื้อโรคในกระแสเลือดชั่วคราวโดยไม่มีอาการ (transient bacteremia) ซึ่งเชื้อโรคในกระแสเลือด อาจติดต่อไปสู่ผู้ป่วยได้ หากมีการผ่าตัดเล็ก เช่น ผ่าฟันคุด ให้เว้นอย่างน้อย 7 วัน จนกว่าแผลหายสนิทไม่มีอาการอักเสบ

ผู้บริจาคที่เคยมีประวัติติดยาเสพติด อาจมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคที่มีการติดต่อทางเลือดและน้ำเหลือง มีโอกาสที่จะใช้ยาเสพติดชนิดฉีดโดยใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน จึงควรงดบริจาคเลือด และรอให้ผ่าน 3 ปีก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าพ้นจากระยะฟักตัวของโรคต่าง ๆ ที่อาจได้รับมา

ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ

– ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่ของตัวเอง การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่คู่ประจํา มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น

– ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน (เฉพาะชายกับชาย) มีสถิติการติดเชื้อเอชไอวี มากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ

– คู่ของผู้บริจาคเลือดที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงทางเพศมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวีและเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซึ่งอาจจะติดต่อมายังผู้บริจาคเลือดได้

พฤติกรรมในการรับประทานยาแก้ปวด กรณีรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล ถ้าไม่มีอาการปวดหรืออาการผิดปกติแล้ว จึงสามารถบริจาคเลือดได้ กรณีรับประทานยาแก้ปวดแอสไพริน ถ้าไม่มีอาการปวดหรืออาการผิดปกติแล้ว ให้เว้นอย่างน้อย 3 วัน จึงสามารถบริจาคเลือดได้ เนื่องจากยาแอสไพริน ทำให้การทำงานของเกล็ดเลือดผิดปกติ

กรณีที่ผู้บริจาคเลือดรับประทานยาปฏิชีวนะ (ยาแก้อักเสบจากการติดเชื้อ) หลังจากรับประทานยามื้อสุดท้ายและไม่มีอาการผิดปกติแล้ว ให้เว้นระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จึงสามารถบริจาคเลือดได้

*สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคตับอักเสบ โรคตับอักเสบมีหลายชนิด ผู้ที่เคยเป็นโรคตับอักเสบแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชนิดใดหรือไม่สามารถบอกได้ว่าหายขาดหรือไม่มีเชื้อโรคตับอักเสบแล้ว ให้งดบริจาคเลือดและปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจติดตามภาวะของโรคต่อไป

*ผู้ที่มีประวัติการเจ็บป่วย เป็นไข้หวัดธรรมดาหลังจากหายดีแล้วในระยะเวลา 7 วัน สามารถบริจาคเลือดได้ กรณีเป็นไข้หวัดใหญ่ หลังจากหายดีแล้วในระยะเวลา 4 สัปดาห์ จึงสามารถบริจาคเลือดได้

– โรคความดันโลหิตสูง หากได้รับการรักษาจนควบคุมความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ ความดันโลหิต Systilic ไม่เกิน 160 มม.ปรอท และความดันโลหิต Diastolic ไม่เกิน 100 มม.ปรอท และร่างกายปกติดีไม่มีโรคแทรกซ้อน รับประทานยาแล้วควบคุมความดันโลหิตได้ดี สามารถบริจาคเลือดได้

– โรคภูมิแพ้ หากอาการไม่รุนแรง เช่น จาม คัดจมูก ทานยาแก้แพ้ และไม่มีอาการแล้ว สามารถบริจาคเลือดได้ แต่ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น ผื่นคันทั้งตัว ไอ หอบหืด หรือใช้ยาลดภูมิต้านทานให้งดบริจาคเลือดจนกว่าจะหายดีแล้วประมาณ 4 สัปดาห์ จึงจะสามารถบริจาคเลือดได้

– โรคไขมันในเลือดสูง หากรับประทานยาลดไขมันและควบคุมอาหาร จนระดับไขมันในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติสามารถบริจาคได้ ถ้าคอเลสเตอรอลสูงเพียงอย่างเดียว สามารถบริจาคเลือดได้ หากไตรกลีเซอไรด์สูงให้งดการบริจาคเลือดชั่วคราว จนกว่าจะควบคุมอยู่ในเกณฑ์ปกติ

– โรคเบาหวาน หากควบคุมเบาหวานได้ดี ด้วยการรับประทานยาลดน้ำตาล ที่ไม่ใช่อินซูลิน และไม่มีโรคแทรกซ้อนสามารถ บริจาคเลือด ได้

– โรควัณโรค หลังรักษาหายดีแล้ว 2 ปี จึงสามารถบริจาคเลือดได้

– โรคไมเกรน หากไม่มีอาการและหยุดยาแล้ว 7 วัน สามารถบริจาคเลือดได้

– โรคหอบหืด หากควบคุมอาการได้ด้วยยา สามารถบริจาคเลือดได้ หากมีประวัติเป็นโรคหอบหืดชนิดรุนแรงและเป็นบ่อยให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

– ผู้ที่เป็นไทรอยด์ไม่เป็นพิษ มีระดับฮอร์โมนไทรอยด์กลับสู่ปกติ ไม่มีอาการของโรค เช่น กินจุ น้ำหนักลด เหงื่อออกง่าย เหนื่อยง่าย ใจสั่น สามารถบริจาคเลือดได้ กรณีไทรอยด์เป็นพิษ แม้ว่ารักษาหายแล้วต้องงดบริจาคเลือดถาวร

ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล ที่ทำหน้าที่ในการคัดกรองผู้ บริจาคเลือดร่วมด้วย

หน่วยคลังเลือด ภาควิชาพยาธิวิทยา  คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล