"พิธา"ลั่นไม่ควรมีใครถูกกล้อนผมใน รร.

2023-02-07 21:30:07

"พิธา"ลั่นไม่ควรมีใครถูกกล้อนผมใน รร.

Advertisement

"พิธา"ลั่นไม่ควรมีใครถูกกล้อนผมใน รร.  ชี้ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามยกเลิกระเบียบว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 เปลี่ยนเป็นการกำหนดแนวปฏิบัติกว้าง ๆ ให้สถานศึกษาแต่ละแห่งนำหลักเกณฑ์ไปกำหนดเป็นระเบียบเอง กลับทำให้กฎเกณฑ์เรื่องทรงผมนักเรียนถูกกำหนดอย่างไร้ขอบเขตกว่าเดิม

เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ไม่ควรมีใครถูกกล้อนผมในโรงเรียน กฎโรงเรียนต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน ผมรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ที่วันนี้ได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ถูกนำเสนอโดยกลุ่ม นักเรียนเลว ที่มีครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.เพชรบูรณ์ ใช้กรรไกรเดินกล้อนผมนักเรียนกว่าร้อยคนจนแหว่งและเสียทรงในระหว่างเข้าแถวตอนเช้า หลังจากนั้นก็บังคับให้นักเรียนทุกคนแก้ทรงผมกลายเป็นทรงนักเรียนขาว 3 ด้านทั้งหมด แม้กฎเรื่องทรงผมโรงเรียนจะไม่ได้บังคับให้นักเรียนต้องตัดผมเกรียนก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่า การที่ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ. 2563 เปลี่ยนเป็นการกำหนดแนวปฏิบัติกว้างๆ ให้สถานศึกษาแต่ละแห่งนำหลักเกณฑ์ไปกำหนดเป็นระเบียบเอง ไม่ได้เป็นการปลดปล่อยเสรีภาพเหนือร่างกายของนักเรียน แต่กลับทำให้กฎเกณฑ์เรื่องทรงผมนักเรียนถูกกำหนดอย่าง “ไร้ขอบเขต” กว่าเดิม

เราในฐานะคนในสังคม ต้องตั้งคำถามว่า “ทรงผม” เกี่ยวข้องอย่างไรกับการเรียนรู้ และพลเมืองของชาติที่เราอยากเห็นในอนาคต คือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เติบโตมาในสังคมที่มีเสรีภาพ หรืออยากให้เป็นคนที่ถูกบีบอยู่ในกรอบของระบบอำนาจนิยม

ผมคิดว่าการสอนและสร้างความสำนึกเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของมนุษย์ในโรงเรียน เป็นเรื่องเดียวกันกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะในโลกยุคปัจจุบันเราไม่สามารถเอาวิธีคิดแบบการผลิตพลทหารของโลกยุค 100 ปีก่อน มาใช้ในการสร้างสรรค์การเรียนรู้

สิ่งที่ รมว.ศึกษาธิการควรต้องทำจริงๆ คือการประกาศระเบียบกระทรวงศึกษาธิการที่ห้ามบุคลากรทางการศึกษาทั้งครูและผู้บริหารโรงเรียนไม่ให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนตามนโยบายของพรรคก้าวไกล

1. กฎโรงเรียนต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน

- ออกข้อกำหนด “กฎโรงเรียนต้องห้าม” เพื่อไม่ให้โรงเรียนออกกฎระเบียบของโรงเรียนที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนักเรียน (เช่น การบังคับเรื่องทรงผม การลงโทษด้วยวิธีรุนแรงทุกประเภท การบังคับให้เด็กบริจาคเงินหรือสิ่งของ การบังคับซื้อของ การบังคับไปทำกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน)
- อบรมครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่นให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเด็ก

2. ต้องมีมาตรการลงโทษครูที่ละเมิดสิทธิ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน และระบบให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเมื่อครูต้องเผชิญภาวะกดดัน

- พักใบประกอบวิชาชีพครูทันทีเมื่อมีการละเมิดสิทธิเด็ก (เช่น การทำร้ายร่างกายเด็ก การล่วงละเมิดทางเพศ) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการงดโทษหรือลงโทษเพียงแค่ย้ายโรงเรียน ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่ปลอดภัยของผู้เรียนในสถานศึกษาอื่น

- แก้ปัญหาการปกปิดความผิดโดยโรงเรียนเมื่อเกิดเหตุการละเมิดสิทธิกับนักเรียน ผ่านการจัดให้มีผู้ตรวจการนักเรียนที่เป็นอิสระ (Student Ombudsman) เพื่อให้เป็นช่องทางร้องเรียนที่เป็นอิสระจริงจากโรงเรียน-เขตพื้นที่

- มีการให้เครื่องมือครูในเรื่องหลักจิตวิทยาและวิธีการรับมือเมื่อเผชิญกับสถานการณ์สูง อันอาจส่งผลต่อสภาวะอารมณ์ รวมทั้งต้องมีระบบให้ความช่วยเหลือคุณครูในการจัดการนักเรียนที่มีปัญหา ด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามหลักการเรียนรู้และหลักสิทธิมนุษยชนในแบบเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว

ผมเชื่อว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชนในโรงเรียน ไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง แต่นี่คือปัญหาร่วมกันของคนทั้งสังคม ถ้าแม้แต่สิทธิขั้นพื้นฐานของนักเรียน เรายังปกป้องไม่ได้ เราคงไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นของระบบการศึกษาไทยได้

ผมจึงอยากเชิญชวนทุกคนในสังคมมาร่วมกันแก้ปัญหานี้ครับ ตรีนุช เทียนทอง