รู้สึกเสียใจ "ม้า อรนภา" เผยสาเหตุแตะหน้านักแสดงหน้าใหม่จนกลายเป็นดราม่าดัง

2022-12-01 09:00:19

รู้สึกเสียใจ "ม้า อรนภา" เผยสาเหตุแตะหน้านักแสดงหน้าใหม่จนกลายเป็นดราม่าดัง

Advertisement

ออกมาเคลียร์ประเด็นหลังโดนทนายความออกมาโพสต์ถึงพิธีกรและดาราชื่อดัง ม้า-อรนภา กฤษฎี ได้ตบหน้านักแสดงหน้าใหม่ท่านหนึ่งที่เดินทางไปทำศัลยกรรมประเทศเกาหลีในทริปเดียวกัน จนกลายเป็นข่าวดังในประเทศไทย ล่าสุด ม้า อรนภา ได้ออกมาเคลียร์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาพร้อมเผยข้อเท็จจริงตามสไตล์ตัวแม่ของวงการบันเทิงไว้ว่า


ตั้งแต่ตอนที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่พี่ได้ทำก็คือ พี่ได้พยายามเขียนและก็คิดว่าจะโพสต์ แต่พอมาคิดดูอีกทีแล้วก็มีคนที่ให้ความคิดเห็นอยู่ข้างๆ พี่ตลอดเวลาบอกว่าอย่าเพิ่ง วันนี้พี่เลยจะอ่านสิ่งที่พี่อยากโพสต์ไว้ให้ฟังก่อน แล้วเสร็จจากตรงนี้ก็จะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนะคะ

ก่อนอื่นพี่คงต้องขอโทษจริงๆ พี่มีความรู้สึกพี่เสียใจกับเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นในครั้งนี้ เสียใจมากๆ ยอมรับผิดตรงนี้มั้ย ยอมรับผิดแน่นอนค่ะ แต่ว่าพี่ก็ได้ขอโทษน้องเค้าไปแล้วนะคะ เราได้ปรับความเข้าใจกันทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งน้องเข้าใจ เราก็เข้าใจเช่นกันนะคะ แต่ก็ไม่ทราบว่าหลังจากนั้นน้องเค้ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่ติดคาใจเค้าอยู่ มันก็เลยมีการไปปรึกษาทนายหลายๆคน ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องเรายังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกหลายวันมากๆเลยทีเดียว จนกระทั่งวันหนึ่งมีการนำเสนอเรื่องราวนี้ขึ้นมาหลังจากที่พี่พยายามติดต่อน้องทันที แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งพี่ก็ติดต่อกลับไปที่ผู้จัดการคนเก่าของเค้านะคะ พอเราได้พูดคุยกันแล้ว ก็ตกใจมากกับการนำเสนอข่าว จนน้องไม่กล้าที่จะมามาเจอหน้าพี่จากการนำเสนอข่าวที่เกิดขึ้นนะคะ แต่เราก็ได้พูดคุยกับผู้จัดการของน้อง สุดท้ายเราก็มาได้เจอกันในวันที่ 29 พ.ย. ก็คือวันสุดท้ายของภารกิจนี้นะคะ และเมื่อกลับไปถึงเมืองไทยเราก็จะพูดคุยกันผ่านสื่อพร้อมกันด้วย รายละเอียดก็ขอให้ฟังจากเราทั้งสองคนซึ่งก็จะดีที่สุด




สิ่งหนึ่งเลยคือพี่ต้องขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของเค้า อันต่อไปพี่ก็ต้องขอโทษกับสิ่งที่พี่ทำผิดแล้วก็ทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวพี่ แต่อย่างหนึ่งคือพี่อยากให้รับฟังเราทั้งสองคนจากปากเลย แล้วก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจว่าอะไรที่มันเกิดขึ้น แต่สุดท้ายพี่ขอยอมรับในสิ่งทีเกิดขึ้นในตัวของพี่ อันนี้คือสิ่งที่พี่เขียนเอาไว้เพื่อนำไปโพสต์ แต่ก็ไม่ได้โพสต์ เพราะพี่คิดว่าน่าจะเงียบไว้ก่อน ในขณะที่มีกระแสเยอะแยะมากมายอย่างรุนแรง ก็ไม่รู้จะตอบโต้กันไปทำไม 

พี่ทำมาร์เก็ตติ้งให้กับโรงพยาบาลศัลยกรรมที่เกาหลีมานานหลายปีมากๆ สาเหตุที่พี่ทำให้เค้าเพราะเค้าดูแลพี่มาตั้งแต่แรกๆ ใครเห็นก็อยากให้พี่ช่วยแนะนำ พี่ไม่เคยคิดว่าจะทำมาร์เก็ตติ้งแบบเป็นเรื่องเป็นราว แต่ทุกคนก็อยากให้พี่แนะนำและไปด้วยกัน อะไรก็ตามที่พี่ทำและเป็นกมลสันดารเลยก็คือต้องทำทุกอย่างให้เกิดความสมบูรณ์แบบ พอใจในสิ่งที่เราจะเป็นคนทำให้เค้า ให้คนที่ได้รับมีความพึงพอใจอย่างมากที่สุด ทุกครั้งที่พี่ไปพี่จะไม่หยุดนิ่ง เราจะไปดูว่าเราควรจะไปกินที่ไหน อะไรอร่อย เราควรจะไปดูอะไร เกาหลีใต้มันมีอะไร พี่ก็จะไปสืบเซาะ จนกระทั่งเพื่อนๆ ขอตามไปด้วยเวลามีเคสนะคะ เพื่อนทุกคนก็บอกว่าสนุก ดีใจมาก ตามตารางที่เราคิดว่าน่าจะเป็นออย่างนี้ ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่พี่มีคนที่พี่จะต้องดูแล พี่ก็จะทำแบบนี้ตลอดเวลา แล้วมาไม่ได้ทำ 3 ปีเต็มๆ เพราะว่ามีเรื่องโควิด ก็ต้องหยุดไป เคสนี้เลยเป็นเคสแรก พี่รู้จักกับน้องเพราะผู้จัดการคนก่อนเป็นคนแนะนำ และสิ่งหนึ่งที่พี่พูดเลยก็คือว่าเธอเป็นคนหล่อ แต่เสียอย่างเดียวเลยคือคนหล่อห้ามมีจมูกที่งุ้ม เหมือนกับผู้หญิงก็ห้ามฟันเก คือต้องทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะนำตัวเองเข้าไปสู่แวดวงบันเทิงได้อย่างดี เค้าก็ได้ไปปรึกษาแพทย์นะคะ แต่ก็ยังไม่ได้มีการนัดหมายหรือวางมัดจำอะไร พี่ก็ไม่ได้ไปติดใจอะไร เพราะมีคนอื่นๆที่มีความอยากจะไป แต่ก็ยังไม่ได้นัดหมายด้วยเช่นกัน ด้วยเรื่องของจังหวะและเวลาค่ะ

วันหนึ่งผู้จัดการน้องเค้าก็บอกว่าจะไป น้องก็ติดต่อมา พอน้องติดต่อมาพี่ก็ติดต่อไปทางเกาหลีทุกอย่าง ทั้งเรื่องของวีซ่า ก็บอกไฟลท์ว่าน้องควรจะไปเวลานี้วันนี้ แต่น้องบอกว่าผมขอไปเที่ยวก่อน 2 วันได้มั้ย ก่อนที่จะทำ ผมจะได้ไปถ่ายรูป ให้พี่ช่วยพาไปเที่ยวด้วยนะ เราก็บอกไม่มีปัญหา มันเข้าทางเราอยู่แล้ว เราต้องดูแลอย่างคบถ้วน คือเริ่มดูแลตั้งแต่ก่อนทำ ทำ หลังทำ ดิฉันจะเป็นคนหาข้าวหาน้ำ จัดสรรทุกสิ่งอย่าง คนที่เคยไปกับดิฉันก็จะรู้ว่าดิฉันจะดูแลแบบสุดๆ เพื่อให้เกิดความประทับใจ ไม่เสียชื่อเสียงของเรา เราก็เลยต้องทำให้สมบูรณ์แบบ แต่ทุกครั้งเวลาที่เราจะทำอะไร เราจะถามผู้ร่วมทางด้วยตลอดเวลาว่าชอบแบบนี้มั้ย ไปแบบนี้มั้ย คือมันต้องถามถูกมั้ยคะ เขารู้หมดแล้วว่าจะต้องไปไหนเพราะเขาเป็นลูกค้า ไปถามได้ทุกคน ดิฉันมีเซเลปในประเทศไทยไปไม่รู้กี่คนแล้ว ทุกครั้งที่ไปดิฉันจะมีจรรยาบรรณในการทำงานของดิฉัน นั่นคือดิฉันจะไม่บอกว่าเป็นใคร ดิฉันจะไม่มีรูปคู่ถ่ายกับลูกค้าเด็ดขาดเพราะจะต้องปิดบังไว้ แล้วยิ่งเป็นเคสที่จะต้องเข้าวงการในอนาคตก็ยิ่งจะไม่พูดให้ด่างพร้อย นำไปเม้าท์กันทีหลังว่าทำนี่นั่น เราก็พยายามปิดบังทุกเรื่องราวค่ะ

นัดหมายกันไว้แล้วเรียบร้อยแล้วแต่ว่าน้องเค้าก็พลาดที่จะไปเที่ยวบินเดียวกับดิฉันเพราะว่าจองช้าไป เราเตือนทุกวัน จองหรือยัง เค้าก็ตอบครับๆๆ เราก็เข้าใจวัยรุ่น สุดท้ายเค้าก็บอกว่าจองไม่ได้เพราะว่าชั้นธรรมดาในสายการบินแห่งหนึ่งเต็ม เค้าก็เลยต้องไปเที่ยวบินอื่น ซึ่งเค้าก็ไปถึงก่อนดิฉัน 2 ชั่วโมง เราก็บอกว่าต้องรอนะ จะได้เอารถของโรงพยาบาลมารับทีเดียวเลย เค้าก็บอกว่าอยู่ได้ครับ จนในที่สุดเราก็ได้เจอกัน แล้วก็เข้าไปเช็คอินที่โรงแรมซึ่งที่เมืองนอกต้องไปเช็คอินประมาณบ่ายสอง แต่เราไปถึงประมาณสิบโมง เราก็เลยไปนั่งกินกาแฟ ไปพูดคุยและก็ได้เรียนรู้ สิ่งหนึ่งที่ดิฉันไปดูแลใครก็แล้วแต่มันจำเป็นมาก เพราะแต่ละคนต่างพื้นฐานกันมากเลย ผู้ใหญ่ก็แบบหนึ่ง กลางคนก็แบบหนึ่ง พื้นฐานแต่ละคนก็คนละแบบ ก็ต้องศึกษาอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะทำอย่างไรให้เค้าถูกใจ ดิฉันเคยมีเคสวัยรุ่นนะคะอายุประมาณยี่สิบปี อันนั้นง่ายมากเลยแต่เค้ามีเพื่อนไปด้วย แต่อันนี้น้องเค้ามาคนเดียว เราก็ยิ่งต้องคอยดูแล ผู้จัดการส่วนตัวน้องเค้าก็ฝากฝังมา เพราะเราสนิทกับผู้จัดการเค้า พอเราไปนั่งคุยก็พอจะเข้าใจแล้วว่าน้องเค้าเป็นคนยังไงนะคะ และก็มีหลายๆหัวข้อที่พูดคุยกันนะคะ เราก็พยายามที่ต้องสอนเพราะคนที่จะเข้าวงการบันเทิงมันต้องมีอะไรอีกหลายอย่างที่บางทีอาจะพลาดไป ทำยังไงถึงจะอยู่ได้นาน เค้าก็พยายามบอกดิฉันว่าเข้าวงการอีกสิ กลับไปอีกสิ แม่ต้องกลับไปใหม่สิ เราก็บอกกลับไม่ได้ กลับยังไงถ้าเค้าไม่เรียก เค้าก็บอกต้องได้ๆ เราก็บอกหยุด ฟังก่อนแล้วดิฉันก็ไปจับที่แขนบอกว่าฟังก่อนอย่ากดดัน เค้าก็บอกไม่ได้ ดิฉันก็ตีที่ต้นแขนบอกว่าอย่าๆ ใจเย็นๆ อย่ากดดันแม่แบบนี้ จากนั้นก็ไปทานข้าวกัน เสร็จแล้วก็เข้าโรงแรมและนัดเจอกันตอนเย็นๆเพื่อไปรับประทานอาหารค่ำ เราก็บอกว่าไปใกล้ๆแถวนี้เนอะจะได้กลับมานอนพักผ่อนเพราะวันรุ่งขึ้นจะได้ไปเดินเที่ยวกันต่อ 

เราก็พูดคุยนะว่าอยากไปเที่ยวไหน อยากจะไปทำอะไร เอาอย่างนี้ไหม โรงแรมอยู่ใกล้วัด ดิฉันจะพาลูกค้าไปไหว้พระเสมอ ไปขอพร เค้าก็บอกว่าเค้ามาครั้งแรกเห็นแต่บาร์ เราก็คิอว่าเค้าชอบเมียงดงแน่ๆเลย งั้นก่อนจะไปเมียงดงเราไปโซลทาวเวอร์ก่อนมั้ย เค้าก็บอกครับๆดีใจมากเลย เราไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วก็ไปโซลทาวเวอร์ และตอนเย็นจะไปทานอะไร เราก็ถามเขานะไปกินปูไหม ทั้งหมดทุกอย่างเนี่ยดิฉันรู้จักทุกร้านเพราะไปบ่อย และเลือกสรรแล้วว่ามันดีมาก ทุกคนที่เคยไปพาจะแฮปปี้มาก แม้แต่คนที่ไม่ได้ไปทำศัลยกรรมก็จะมาขอที่อยู่แล้วไปกันเอง ทุกคนก็จะบอกว่าดีมาก



เราก็บอกว่าเอามั้ยร้านนี้ เค้าก็บอกว่าเอาครับผมชอบกินปู เราก็โอเค ก่อนออกจากโรงแรมดิฉันก็ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์แบบเพราะว่าร้านที่เกาหลีปิดเยอะมาก ทุกอย่างเงียบเหงามาก เราก็แบบจะทำยังไงดี โรงแรมที่เคยอยู่ก็ปิดหมดด้วยพิษเศรษฐกิจจากโควิด ทีนี้เราก็ให้ทางโรงแรมที่ไปพักโทรเช็กให้หน่อยสิว่าวันจันทร์เปิดไหมเพราะเราไปถึงวันอาทิตย์ สรุปร้านนั้นเปิดตั้งแต่เที่ยงจนถึงเที่ยงคืน คือสุดท้ายเราจะไปจบกันที่กินปู คือวันรุ่งขึ้นน้องเค้าจะต้องเข้ารับการผ่าตัดแล้ว เราก็เลยต้องกินปูเร็วหน่อย เพราะน้องต้องงดอาหารและน้ำให้ได้ 6 ชั่วโมง ในการผ่าตัดค่ะ เราก็อธิบายให้เค้าเข้าใจค่ะ 

พอไปโซลทาวเวอร์เค้าก็บอกว่าเค้าชอบถ่ายรูปและเดี๋ยวผมจะถ่ายรูปให้แม่ด้วยนะ เราก็ไปนั่งและชมวิวน้องก็มาบอกว่าเดี๋ยวเราแยกกันมั้ย เราก็ถามว่าจะไปไหน ไม่ไปเมียงดงแล้วหรอ เค้าบอกผมเกรงใจแม่ เราก็บอกไม่ต้องเกรงใจ ผมอยากอยู่ถ่ายรูป ทำโน่นทำนี่ เราก็เริ่มเรียนรู้แล้วค่ะว่าดิฉันเป็นหญิงแก่ เค้าคือวัยรุ่น มันคนละภาษา ความชอบต้องไม่เหมือนกันแน่ๆ เริ่มเรียนรู้ละ เราก็ค่อยๆเรียนรู้เพื่อที่จะค่อยๆปรับให้ได้ดีที่สุด แต่เค้าไม่รู้เพราะเราไม่ได้อธิบาย เราก็บอกเอางี้เดี๋ยวแม่รอที่ร้านที่ไกด์จะไปรอลูกทัวร์ คุณจะไปช้อปปิ้งทั้งวันเชิญได้เลย ซื้อของเยอะแค่ไหนเอามาฝากเราได้เลย แต่เราไม่ได้อธิบายให้กับน้องเค้าฟัง เราก็แค่บอกว่าร้านที่เรารออยู่ตรงนี้นะ น่าจะรอประมาณ 2-3 ชั่วโมง ดิฉันก็นั่งเพลิน พอมันเริ่มนานดิฉันก็พอจะรู้ว่าว่าท่าทางจะหิว เลยสั่งวาฟเฟิลมาและก็เผื่อให้เค้าส่วนหนึ่ง เราก็ทำเหมือนไกด์อ่ะเวลาลูกทัวร์กลับมาก็จะหิวเพราะเดินช้อปปิ้งจะได้มากินที่เราสั่งไว้ให้ เราก็ไลน์ไปถามเค้าว่าช้อปหมดตลาดยัง เค้าก็ส่งรูปมา โอ้โห....5ถุง เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวกำลังจะกลับแล้วนะครับ พอเค้ามาก็ของเต็มแน่นเลย เค้าก็กินวาฟเฟิลเรียบร้อย เราก็ถามว่าซื้ออะไรมาบ้างอ่ะ เราก็แบบโอ้โห...เครื่องสำอางหนักนะ เพราะยังมีถุงเสื้อผ้าและก็บอกว่ามีรองเท้าด้วยหรอ คราวนี้เราก็อยากได้รองเท้าขึ้นเขาเหมือนกัน เค้าก็บอกว่าไปเลยมั้ยผมจะพาไปร้านนี้ เราก็เออๆไปๆ อันนี้ก่อนจะไปกินข้าวนะคะ เราก็ถามว่าไหวมั้ยเพราะถ้าเราช้อปปิ้งขนาดนี้คือไปไหนไม่ไหวแล้ว เค้าก็หิ้วแล้วบอกไหวครับ ในขณะทื่หิ้วไปดิฉันก็พูดว่า เนี่ยถ้าเป็นที่เมืองไทยอ่ะฉันจะรู้จักกับคนเยอะแยะเลย เดี๋ยวจะเอาไปฝากของได้ แต่นี่เราอยู่เกาหลีพูดก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่องจะฝากใครก็ไม่มีใครเอา พอไปอยู่กลางเมียงดงมันเงียบเหงามากเลยบอกถ่ายรูปให้หน่อยสิ เค้าก็ถ่ายให้ดิฉัน ดิฉันก็ถามว่าไหวมั้ย ย้ำเป็นครั้งที่สอง เพราะถ้าไม่ไหวก็ว่ามา เราจะได้เปลี่ยนแผนเพราะของมันเยอะเหลือเกินอ่ะ น้องก็บอกไหวครับ พอเดินไปถึงร้านรองเท้าดิฉันก็ซื้อของ ก็บอกว่าวางของดีๆนะเพราะของมันเยอะมาก ก็กลัวจะไปเกะกะใคร จากนั้นเราก็ไปซื้อรองเท้าเรียบร้อยและต้องไปกินอาหารกันใช่มะ เราก็ลุกขึ้นมาตามที่เห็นในคลิป ประโยคที่เค้าพูดมาคือ ไม่ไปกินปูแล้วนะ ฉันก็(ทำท่าตบ) จะบ้าหรอ คือดิฉันมือไว ก่อนหน้านี้ดิฉันก็เคยตีมือบอกว่าหยุดพูดเดี๋ยวนี้ ห้ามกดดันเด็ดขาดในหลายๆเรื่องที่เราคุยกัน ดิฉันอยู่กับเค้าประมาณวันครึ่งได้สอนเค้าหลายเรื่องมาก คือเค้าต้องเข้าไปอยู่ในวงการเราก็สอนว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ หัดฟังๆ(แตะมือ) คือไม่ได้ฟาดนะและก็สอนว่าห้ามพูดแบบนี้ ตอนนั้นคือเราตั้งใจแบบนี้ตามแผนการของเรา จองแล้ว เราไม่ได้โมโห พอเค้าบอกไม่ไปกินปูแล้วเรา เราก็บอกอีนี่จะบ้าหรอ

ถามว่าตบแรงมั้ย จะบ้าหรอ แค่เห็นในคลิปก็น่าจะรู้ว่ามันคืออะไรอ่ะ เค้าก็บอกตบหน้าผมเลยหรอ เราก็ตายห่าแล้ว บอกเออใช่ อุ๊ยตายแล้วขอโทษๆ เขาบอกถ้าเป็นคนอื่นผมด่าไปแล้วนะ คือตอนนั้นเค้าเดินไปแล้วนะคะ เราก็เดินไปจับเค้าไว้ เราก็บอกขอโทษนะ เค้าก็บอกตบหน้าแบบนี้ไม่ได้ เราก็บอกขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจเลยนะ ที่ทำไปตรงนี้คือเราแค่ตกใจว่าทำไมอยู่ๆ ทำไมต้องเปลี่ยน ถ้าไม่ไปก็ควรบอกก่อนล่วงหน้า เพราะดิฉันถามย้ำมาตลอด


เราแตะที่หน้าเค้าไปทีเดียวแล้วบอกจะบ้าหรอ ดิฉันชอบเป็นแบบนี้เวลาใครทำอะไรผิด หรือจะบอกว่าตบปากตัวเองเท่าอายุฉันเลย ไปถามคนสนิทได้เลยค่ะ เราแตะไม่ได้ตบ เราไม่ได้โมโหหิวเพราะเรารอเค้าอยู่ในร้านกาแฟ เขาบอกทำแบบนี้ไม่ได้ ผมโกรธมาก ดิฉันเลยบอกขอโทษ เสียใจมากทำไมทำอย่างนี้ เค้าก็บอกปล่อยผม ให้ปล่อยผมอยู่คนเดียว ในขณะที่เค้าเดินไป เราก็เดินตามไปห่างๆ ก็รอให้เค้าสงบสติอารมณ์พักใหญ่ๆพอสมควร จากนั้นก็เดินไปจับมือเขาแล้วบอกขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราถามแล้ว ถามมาตลอด และก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น แต่อยู่ๆ มาพูดแบบนี้ไม่ได้ น้องต้องเข้าใจนะว่าการจะอยู่ร่วมหรือทำอะไรกับใครสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือการเดินเข้ามากันคนละครึ่ง จะชอบหรือไม่ชอบพูดกัน จะไปหรือไม่ไปก็บอกมา คือมันไม่มีสัญญาณเลยว่าจะไม่ไป ดิฉันก็เป็นคนมือไว เราก็สอนอะไรหลายๆ อย่าง แต่ก็ขอโทษตลอด รู้สึกผิดจริงๆ เค้าก็บอกได้ครับ ผมเข้าใจ เรื่องนี้ผมจะไม่บอกใคร แม้กระทั่งพี่ผู้จัดการส่วนตัว ดิฉันก็จับมือเค้าตลอดเวลาและฟังเค้าแค่นั้น
คุยกันสักพัก จนกระทั่งทุกอย่างมีความเข้าใจประณีประนอมกันหมดแล้ว เค้าก็บอกว่าจริงๆผมเคารพแม่มากเลยนะ ที่สอนอะไรผมหลายๆอย่าง ขอบคุณนะครับ และก็เข้ามากอดดิฉัน ฉันก็บอกขอบคุณมาก ก็คิดว่าทุกอย่างสงบลง เค้าก็บอกไปกินปูกันครับ ดิฉันก็ได้ ไปก็ไป ในขณะที่ไปร้านปูเราก็พูดกันหลายร้อยเรื่องในรถนะคะ พอไปถึงร้านปูก็ทานปูกัน อาหารมาน้องก็ถ่ายรูป ตอนอยู่ในรถก็บอกน้องว่าถ่ายคลิปห่อหมกของร้านแม่ได้มั้ย เค้าก็ถ่ายให้ ตอนกินปูเค้าก็ถ่ายรูปไปให้แม่เค้าดู แม่เค้าก็บอกว่าน่ากินจัง คราวนี้เค้าก็บอกว่าจริงๆอยากกลับไปดูละคร ดิฉันก็บอกไปว่าถ้าจะไปเวลานี้จะทันมัน เพราะเวลาที่เกาหลีกับไทยจะห่างกัน 2 ชั่วโมง เค้าก็บอกเวลานี้ยังได้ครับ ก็กินอาหารกันเรียบร้อยและเดินทางกลับ พอถึงโรงแรมเราก็บอกเดี๋ยวพรุ่งนี้เราเจอกันเวลา 11.30 น. เพื่อไปพบแพทย์และเข้าห้องผ่าตัดตอนบ่ายโมง เราก็ปล่อยเค้าไป แต่ในใจฉันรู้เลยว่าสงสัยจะไปเที่ยวกลางคืน เราก็บอกห้ามกินหรือดื่มอะไรก่อนผ่าตัด 6 ชั่วโมง คือต้องห้ามจริงๆ ฉันกลัวจังเลย แต่ก็คิดว่าเค้าน่าจะไป ก็ปล่อยเค้าไป แต่คือไม่รู้นะคะ

พอตอนเช้าก็โทรปลุกว่าเจอกันตามเวลาที่นัดหมายที่หน้าห้องเนอะ พอเจอก็ถามเค้าว่าเมื่อคืนไปไหนมาหรือเปล่า เค้าก็บอกว่าไปครับและก็ไม่ได้ดื่มน้ำหรืออะไรครับ เราก็บอกว่าดีแล้ว พอไปถึงโรงพยาบาลก็พูดคุยกันแล้วบอกว่าถ่ายคลิปให้หน่อยพอดีจะขายห่อหมก เค้าก็ถ่ายให้ จนส่งเค้าเข้าห้องผ่าตัด  ตอนเย็นก็ผ่าเค้ากลับ คือเค้าทำแค่จมูก ก็เดินกลับได้เพราะไม่ใช่เคสใหญ่มากซึ่งทางโรงพยาบาลก็ขับรถมาส่ง เค้าก็บอกว่าอยากนอนเลย คือเคสแบบนี้มันไม่ได้หลับไงต้องให้รู้สึกตัวตลอดเวลา เราก็บอกได้ เดี๋ยวเย็นๆไปหาอะไรกินเนอะ พอถึงเวลาดิฉันก็โทรถาม คือเค้าเป็นผู้ชายดิฉันก็ไม่อยากเข้าไปในห้องเค้าเนอะ เพราะถ้าเป็นเคสลูกค้าผู้หญิงดิฉันจะเคาะห้องตลอดเวลา น้องก็บอกว่าหิว เราก็บอกว่าต้องให้ครบ 3 ชั่วโมงก่อน ถึงจะกินอะไรได้ เลยให้เทสด้วยการดื่มน้ำก่อน เค้าก็บอกได้ครับไม่มีปัญหาเลย จากนั้นเราก็บอกว่าต้องเริ่มกินยาแล้วนะ ดิฉันก็เริ่มรู้แล้วว่าคนแก่กับเด็กไปด้วยกันคงไม่สนุก พอเช้าวันถัดมาดิฉันก็โทรไปถามว่ากินอะไรหรือยัง เค้าก็บอกกินขนมปังแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเลยไปเคาะห้องดีกว่า ขอไปดูผลของการทำแล้วกัน เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวๆผมโป๊อยู่ พอเข้าไปก็พูดคุยกันปกติ และก็ถามอีกว่าเดี๋ยวจะไปไหนเพราะเค้าเป็นลูกค้า เค้าก็บอกไม่แล้วครับ เราก็บอกว่าต้องเดินนะ เพราะการเดินจะเกิดการลดบวมได้เร็วและมากที่สุด เค้าก็บอกว่าไม่ต้องห่วง เราก็เข้าใจละ ดิฉันก็ไปลั๊นลากับคนอื่นๆ พอตกกลางคืนก็ถามว่ากินข้าวยัง ต้องกินยานะ เค้าก็บอกครับๆ




จากนั้น 3 วัน คือต้องไปล้างแผล ถอดเฝือก ดิฉันก็จะย้ำว่าต้องกินยาเพราะเป็นกฎที่เข้มงวดมาก เค้าก็ยังรับสายดิฉันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งวันที่ล้างแผลนะคะเราก็ได้นัดกันตอนสายๆก็ยังถ่ายรูปถ่ายคลิปห่อหมกที่ดิฉันขาย ทุกอย่างปกติหมด เจอกันปกติ คือเราจะคอยบอกลูกค้าตลอดว่าต้องทำยังไงหลังจากนี้ เพราะเราผ่านประสบการณ์มาหมดแล้วจะได้หายให้เร็วที่สุด พอเดินมาหน้าโรงพยาบาลเค้าก็บอกว่าเดี๋ยววันที่ 29 เจอกันครับ คือวันที่ต้องตัดไหมเป็นวันสุดท้ายตอนบ่ายและก็จะเดินทางกลับ เราก็ถามอีกว่าจะไปไหนมั้ย เค้าก็บอกว่าเดี๋ยวผมเดินแถวนี้ เราก็โอเค คือช่วงบ่ายแก่ๆก็คือช่วงความงามของดิฉันแล้ว หมอนัดให้เรียบร้อย 

ย้อนกลับไปวันที่ดิฉันเอามือไปแตะหน้าน้อง ก็ไลน์ไปคุยกับผู้จัดการเค้าเพื่อศึกษาว่าเค้าเป็นคนยังไง ผู้จัดการเค้าก็โทรมาพูดคุยกันหลายอย่าง เค้าก็บอกว่าเค้าไม่ได้ดูแลแล้ว เค้าเพิ่งทะเลาะกันไป ฉันก็อ้าว...แล้วไม่เห็นบอกฉันเลย ไม่ได้ติดต่อกันใดๆทั้งสิ้น ไม่ได้ติดต่อแล้ว และก็เพิ่งรู้ว่าเค้าเป็นเด็กพี่ปิ๊กมาก่อน และวันที่ดิฉันไปทำหน้าก็มีข่าวส่งมาให้ดิฉันว่ามีทนายโพสต์นี่นั่น ผู้จัดการเค้าก็บอกว่ารีบออกมาจากประเทศเกาหลีเดี๋ยวนี้ เพราะเค้าก็คงไปแจ้งความ แม้จะไม่ได้เจอน้องแต่ก็โทรศัพท์คุยกัน คือไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ และเกิดอะไรขึ้น ไหนบอกว่าจะไม่บอกใคร และธงเองก็เป็นคนโทรมาบอกให้รีบออกจากเกาหลีไป จากนั้นก็มีทัวร์มาลงดิฉันในไอจีด่าดิฉันแต่ชินแล้วค่ะ ทางการเกาหลีก็ไม่ได้อะไรค่ะ ภาพที่เค้าไปแจ้งความดิฉันก็สัณนิฐานว่าคงเป็นคำบอกเล่าจากทนายว่าต้องทำแบบนี้ เพื่อเก็บเป็นหลักฐาน และไปแจ้งความเพื่อขอภาพจากวงจรปิดเอาไปเป็นหลักฐาน นี่เป็นการคาดเดานะคะ ดิฉันอยู่มา 4-5 วัน ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ

พอเกิดเรื่องราวก็โทรไปหาเค้าแต่เค้าไม่รับ เลยพิมพ์ไปว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ตอบ เลยลบคำถามนี้ออกไป และก็คุยกับทางผู้จัดการเค้าที่ชื่อธง ตอนนั้นก็มีข่าวจากทนายว่าเค้าย้ายโรงแรมไปแล้วเพราะกลัวดิฉันมาก ผู้หญิงแก่อย่างดิฉันเนี่ยนะ(ยิ้ม) ถ้านางฟาดมาฉันก็ล้มแล้ว จากนั้นก็เลยลงไปเคลียร์กับทางโรงแรม เค้าก็บอกว่าแขกยังอยู่ไม่มีอะไร จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นก็ได้ยินเสียงจากห้องเค้า แต่เป็นแม่บ้านที่ทำความสะอาดห้องของน้อง เลยเข้าใจว่าน้องไปแล้ว ซึ่งน่าจะไปตั้งแต่วันที่เค้าไปล้างแผล ถามว่าไปอยู่ไหนเราไม่ทราบเลยค่ะ

ดิฉันคิดว่าเรื่องนี้น่าจะจบกันตั้งแต่ริมถนนที่เมียงดงแล้วมั้ง ตอนยืนจับมือขอโทษเค้า จนเค้าเข้ามากอดดิฉัน ถามว่าเราเสียค่าปรับที่เกาหลีหลังเค้าไปแจ้งความมั้ยคือไม่มี คือเรื่องมันไม่ได้เกิดเป็นคดีความ คือเค้าแค่จะไปขอคลิป ส่วนเรื่องการดำเนินทางกฎหมายอันนี้ไม่รู้อ่ะ เรื่องผลกระทบกับอาชีพ คือตอนนี้พี่มีอาชีพอะไรอ่าคะ ห่อหมกก็ยังขายดีเหมือนเดิม 

ถามว่าตอนนี้มีบุคคลที่สามที่มาพูดให้พี่ม้าเสียหายเราจะฟ้องมั้ย ต้องบอกว่าเสียหายมั้ย ทุกคนก็บอกว่าเสียหายมากเลยค่ะ ดิฉันก็มีความรู้สึกว่าเสียหาย แต่ดิฉันเป็นคนที่พอเอาไปเทียบกับตอนที่โดนไล่ออกจากงานอ่ะ อันนั้นใหญ่โตมากกว่า ซึ่งดิฉันยังให้อภัยได้ทุกเรื่องราวอ่ะ และอยู่มาได้จนถึงวันนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคนที่มาวาทะกัน ไม่ได้ตบนะ แตะกัน และไม่คิดว่าเค้าจะเอาทุกอย่างไปป่าวประกาศแบบนี้ ถามว่ารู้สึกมั้ย คือมันรู้สึกอยู่แล้ว แต่ดิฉันควบคุมความรู้สึกนี้ได้อย่างมีสติ เรื่องฟ้องใครพี่พูดไม่ได้เพราะพี่ไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมายสักเท่าไหร่ 

ตบกับแตะของเรากับเค้าอาจจะไม่เหมือนกัน คือผู้ชายก็คงจะมีเรื่องศักดิ์ศรีของเค้าเนอะ แต่สำหรับเราเหมือนการสั่งสอนเด็กอ่ะ ส่วนอยากจะบอกอะไรกับบุคคลที่สามที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือเรามีเรื่องกันแค่สองคนตรงนั้น คือถ้าไม่ไปบอกใครก็คงไม่มีใครรู้อ่ะ ก็ประณีประนอมพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วอ่ะ เหมือนแม่ลูกสั่งสอนกันไป น้องก็ไม่ได้ติดใจในตอนนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรคาใจถึงได้ไปติดต่อทนาย แล้วทนายก็ไปทำให้เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วจะให้ฉันทำยังไงคะ ดิฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับทนายเนอะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับดิฉัน ตั้งแต่เรื่องออกจากงาน และเรื่องการแต่งงานเกี่ยวกับเพศสภาพเดียวกัน ดิฉันก็โดนโจมตีซึ่งเราก็เงียบเฉยมาตลอด ใครที่โจมตีเดี๋ยวเบื่อก็เงียบไปเอง ถามว่ามีคนเอาชื่อเสียงเราไปสร้างกระแสให้ตนเองมั้ยนั้น คือดิฉันยังมีชื่อเสียงขนาดนั้นใช่มั้ย ส่วนบางคนบอกว่าอาจเป็นการเรียกภาพให้หน้าจอสื่อคืนมา ไม่ใช่ตัวพี่ พี่ไม่ได้สร้างข่าว เรื่องความสัมพันธ์ทางชู้สาวคือขนาดจะไปเคาะห้องยังไม่ได้เลย หน้าที่เราคือไปดูแลลูกค้าก็แค่นั้นเองค่ะ พี่แก่ขนาดนี้จะบ้าหรอ