“Stand By Me” เพลงนี้ที่ถูกเลือก พิธีเสกสมรส “เจ้าชายแฮร์รี-เมแกน มาร์เคิล”

2018-05-31 10:00:33

“Stand By Me” เพลงนี้ที่ถูกเลือก พิธีเสกสมรส “เจ้าชายแฮร์รี-เมแกน มาร์เคิล”

Advertisement

ยังคงเป็นที่กล่าวขานและยังความประทับใจอยู่ไม่คลาย สำหรับพิธีเสกสมรสระหว่าง เจ้าชายแฮร์รี่ และ เมแกน มาร์เคิล ณ วิหารเซนต์จอร์จภายในพระราชวังวินด์เซอร์ เมื่อวันเสาร์ที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยหนึ่งในช่วงตอนที่ถูกกล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมากคือ ช่วงที่วงประสานเสียงได้ขับกล่อมพิธีที่อบอวลไปด้วยไออุ่นแห่งรักด้วยเพลง “Stand By Me” ในระหว่างพิธีอันแสนสำคัญนี้



วงที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดบทเพลงสุดฮิตแห่งปี 2504 อย่าง “Stand By Me” ในสไตล์กอสเปล คือกลุ่มประสานเสียงนาม The Kingdom Choir ภายใต้การอำนวยเพลงโดย คาเรน กิบสัน ซึ่งภายหลังจากชั่วนาทีที่การขับร้องสิ้นสุดลง เจ้าชายแฮร์รี่ และ เมแกน มาร์เคิล ก็ได้กล่าวคำว่า “I do” อันส่งผลให้ทั้งคู่กลายเป็นดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกส์อย่างเป็นทางการ






บทเพลง “Stand By Me” นั้นเป็นผลงานของ เบน อี. คิง สุดยอดนักร้องนักแต่งเพลงแนวโซลผู้ล่วงลับ โดยบทเพลงที่ถูกเลือกใช้ประกอบพิธีเสกสมรสที่ทั่วโลกจับตามองนั้นเขาร่วมแต่งกับ เจอร์รี่ ไลเบอร์ และไมค์ สโตลเลอร์ สองคู่หูนักแต่งเพลงระดับตำนาน โดย คิง เผยว่าเขาได้แรงบันดาลใจชื่อเพลงจากเพลง "Stand by Me Father" ของ เดอะโซลสเตอร์เรอร์ส (the Soul Stirrers) ที่ประพันธ์โดย แซม คุก และ เจ.ดับบลิว. อเล็กซานเดอร์





สำหรับที่มาของเพลงนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละแหล่งข้อมูล สารคดี “History of Rock 'n' Roll” ระบุว่าเดิมที คิง ไม่ได้ตั้งใจจะบันทึกเสียงเพลงนี้เอง ทว่าแต่งให้กับวงเดอะดริฟเตอร์ส (The Drifters) ซึ่งปรากฏว่าทางวงบอกผ่านเพลงนี้ไป

ในระหว่างที่เพลงนี้ยังไม่มีใครนำไปใช้ วันหนึ่ง หลังจากที่ คิง บันทึกเสียงเพลง “Spanish Harlem" เสร็จเร็วกว่ากำหนดเวลาที่จองสตูดิโอไว้ เจอร์รี่ ไลเบอร์ และไมค์ สโตลเลอร์ ที่ดูแลการผลิตเพลงดังกล่าวจึงถามว่า คิง มีเพลงอื่นอยากจะบันทึกเสียงบ้างไหม คิงเลยนั่งลงที่เปียโนและเล่นเพลงที่เขาเพิ่งแต่งไว้ให้สองโปรดิวเซอร์ฟัง สองคู่หูชอบเพลงนี้มาก จึงเรียกตัวนักดนตรีห้องอัดให้กลับมาบันทึกเสียงเพลงนี้





อย่างไรก็ตาม ไมค์ สโตลเลอร์ กลับมีความทรงจำถึงจุดเริ่มต้นของเพลงที่แตกต่างออกไป โดยเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมจำได้ว่า วันนั้นผมมาถึงออฟฟิศของเรา แล้วเจอ เจอร์รี่ กับ เบน กำลังแต่งคำร้องเพลงใหม่กันอยู่ โดย คิง เป็นคนเริ่มฮัมทำนองของเพลงออกมา ก่อนที่ผมจะเดินไปที่เปียโนและแต่งไลน์ดนตรีคลอไปกับเสียงร้องของเขา จนได้แพทเทิร์นไลน์เบสออกมา ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเพลงนี้ในเวลาต่อมา”

ไม่ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นอย่างไร “Stand By Me” ก็กลายเป็นเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของ คิง ไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยหลังถูกตัดเป็นซิงเกิลก็พุ่งขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตอาร์แอนด์บี และเวอร์ชั่นต้นฉบับนี้สามารถไต่ขึ้นท็อป 10 ของชาร์ตซิงเกิลในอเมริกาถึง 2 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกติดอันดับ 4 ในชาร์ตบิลบอร์ดเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2504 และครั้งที่สอง หลังจากที่เพลงนี้ถูกนำไปประกอบภาพยนตร์และโฆษณา โดยติดอันดับ 9 ชาร์ตบิลบอร์ดระหว่างวันที่ 20 ธ.ค. 2528-3 ม.ค. 2529





“Stand By Me” ได้ถูกยกย่องจากนิตยสารโรลลิงสโตนให้อยู่ในอันดับที่ 122 ของลิสต์ “500 เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล” โดยถูกนำไปบันทึกเสียงใหม่โดยศิลปินต่างๆ มากกว่า 400 เวอร์ชั่นด้วยกัน

ขณะที่ในปี 2555 นั้นมีการประมาณว่า ค่ารอยัลตี้ของเพลงนี้นั้นน่าจะสูงถึง 22.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 733 ล้านบาท ถือเป็นเพลงที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับ 6 โดยค่ารอยัลตี้นั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ คิง 50% และ เจอร์รี่ ไลเบอร์ กับไมค์ สโตลเลอร์ 50%





ต่อมาในปี 2558 ก่อนหน้าการเสียชีวิตของ คิง เพียง 5 สัปดาห์ เพลง “Stand By Me” ในเวอร์ชั่นของเขาก็ได้รับการคัดเลือกให้เก็บรักษาไว้ใน หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน (Library of Congress) ในฐานะ “มีนัยสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์”

เพลง Stand By Me เวอร์ชั่น Royal Wedding