"อ.อ้อย"ขู่ฟ้องคนกล่าวหาบิดเบือนทำเสียชื่อ

2018-01-27 20:15:09

"อ.อ้อย"ขู่ฟ้องคนกล่าวหาบิดเบือนทำเสียชื่อ

Advertisement

"อ.อ้อย"ยืนยันฆราวาสบรรลุธรรมได้จริง หากฝึกจิตมากพอ สามารถติดต่อกับพระอาจารย์โตได้ ระบุไม่เคยพูดลดคุณค่าของพระและวัด ส่วนเรื่องเงินนั้น ไม่เคยเรียกเก็บจากลูกศิษย์แจงใช้เพื่อการโฆษณาปกป้องพระพุทธศาสนาเท่านั้น เตรียมฟ้องผู้กล่าวหาทำให้เสื่อมเสีย

เมื่อวันที่ 27 ม.ค. อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล หรือ "อ.อ้อย" เจ้าของแนวคิดธรรมะสาย “เตโชวิปัสสนา” และประธานมูลนิธิ Knowing Buddha แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีที่ถูกวิจารณ์อยู่ในขณะนี้ เริ่มตั้งแต่ประเด็นที่ถูกกล่าวหาว่า ทำตัวเหนือพระสงฆ์ ซึ่งอ.อ้อยระบุว่า รูปที่เป็นประเด็นดังกล่าวเป็นรูปขณะที่ตนไปไหว้พระใน จ.สุรินทร์ และมีพระหลายรูปเคยเป็นลูกศิษย์ของตนเองมาก่อน เมื่อลากลับ พระท่านจึงให้พร และรับไหว้จากตนเท่านั้น ตนไม่เคยเป็นประธานสงฆ์ การประกอบพิธีต่างๆจะมีพระสงฆ์เป็นประธาน เพียงแต่มีผู้ที่ไม่หวังดีนำภาพที่มีมุมเหมือนตนเป็นประธานสงฆ์ มาใช้เพื่อกล่าวหาใส่ร้าย


อ.อ้อย กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่มีคนกล่าวหาว่า ตนบอกคนไม่ให้ไปวัด สร้างกระแสลดคุณค่าของพระและวัดนั้น ยืนยันว่า ไม่เคยพูดไม่ให้คนไปวัด หรือทำลายความน่าเชื่อถือของวัด เพราะตนก็ยังไปวัด แต่เลือกไปเฉพาะวัดที่มีพระที่ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบเท่านั้น ไม่ใช่วัดที่มอมเมาประชาชน และพระสงฆ์ที่ปฎิบัติตนไม่เหมาะสมต่างหาก ที่เป็นผู้ทำลายคุณค่าของวัด


ส่วนประเด็นเรื่องการอวดอุตรินั้น อ.อ้อย ระบุว่า ฆราวาสสามารถบรรลุธรรมได้จริง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว การที่ตนฝึกปฎิบัติธรรมจนมีจิตสามารถสื่อกับพระอาจารย์สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี นั้น เป็นเรื่องของการวิปัสสนา หากมีจิตที่บริสุทธิ์พอ ก็จะสามารถทำได้ แต่คนที่ไม่ได้ปฎิบัติย่อมไม่เชื่อ เพราะไม่เคยสัมผัส เช่นเดียวกับที่ตนฝึกจิต จนได้รับกระแสพลังจากพระพุทธเจ้า ให้เขียนหนังสือ "ฆราวาสบรรลุธรรม" เช่นกัน ส่วนเรื่องภาพที่เห็นว่ามีรัศมีธรรมเปล่งออกมาจากตนเองนั้น เป็นเรื่องจริง เพื่อลบคำปรามาสที่ว่า ผู้หญิงและฆราวาสไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ยืนยันว่า ไม่เคยพูดว่า ไม่ให้คนเชื่อในพระไตรปิฎก แต่บอกว่าต้องปฎิบัติด้วย ไม่ใช่ยึดติดแต่พระธรรมเพียงอย่างเดียว

ขณะที่เรื่องของเงินบริจาคนั้น อ.อ้อย กล่าวว่า  เนื่องจากมูลนิธิ Knowing Buddha และมูลนิธิ รร.แห่งชีวิต มีการดำเนินงานในรูปแบบมูลนิธิ รายได้ส่วนใหญ่จึงมาจากการบริจาคของลูกศิษย์ ซึ่งในปี 2559 ได้มีการเปิดประมูลพระพุทธรูปและกระเป๋าจริง เพราะมีลูกศิษย์อยากได้ไปบูชา และเป็นขวัญกำลังใจ ซึ่งได้เงินจากการประมูลกว่า 21 ล้าน 5 แสนบาท และรายได้ของมูลนิธินั้น นำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายป้ายโฆษณา เพื่อรณรงค์ปกป้องพระพุทธศาสนา จำนวน 8 ป้ายทั่วประเทศ รวมถึงเป็นค่าจัดพิมพ์นิตยสารข้ามห้วงมหรรณพ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ โดยในปี 2560 มียอดค่าใช้จ่ายกว่า 22 ล้านบาท แต่ยืนยันว่า ไม่เคยเก็บเงินลูกศิษย์เพื่อเข้าปฎิบัติธรรม และไม่ใช่พุทธพาณิชย์ เพราะสิ่งนี้เป็นการปลูกจิตสำนึกให้คนลดความตระหนี่ถี่เหนียว และไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ โดยทางมูลนิธิจะเดินหน้าฟ้องผู้ที่บิดเบือนกล่าวหาว่าตนเก็บเงินจากลูกศิษย์ ยิ่งบริจาคมากก็จะได้บรรลุธรรมมาก เพราะมองว่าเป็นพฤติกรรมที่เลวทรามที่สุด เพื่อปกป้องสายธรรมและลูกศิษย์ของตนเอง