ผอ.สถาบันมะเร็งย้ำจุดยืนต่อต้าน "พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส"

2022-04-18 04:30:12

ผอ.สถาบันมะเร็งย้ำจุดยืนต่อต้าน "พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส"

Advertisement

ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติย้ำจุดยืนเดิมต่อต้านการใช้ "พาราควอต-ไกลโฟเซต-คลอร์ไพริฟอส" ชี้งานวิจัยที่เชื่อถือได้จำนวนมากแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของการเกิดมะเร็ง

เมื่อวันที่ 17 เม.ย.65 นพ.สกานต์ บุนนาค ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของการเกิดโรคมะเร็งกับสารกำจัดศัตรูพืช โดยอ้างข้อมูลจาก ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ผ่านสื่อแห่งหนึ่งนั้น สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ขอชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมว่าได้มีการให้ข้อมูลกับประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กรองจริง โดยทางเครือข่ายอาสาคนรักแม่กรองได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อขอข้อมูลวิชาการทางการแพทย์มาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ หนังสือด่วนที่สุด 052/2565 ลงวันที่ 21 มี.ค.65 และทางสถาบันฯได้ทำหนังสือตอบอย่างเป็นทางการ ที่ สธ 0315/782 ลงวันที่ 31 มี.ค.65 และต่อมาได้มีการนำบางส่วนของข้อความในหนังสือดังกล่าวมาตีพิมพ์ทางสื่อดังกล่าว ดังนี้ “องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency for Research on Cancer: IARC) ยังไม่ได้จัดให้สารพาราควอตอยู่ในกลุ่มของสารก่อมะเร็ง เนื่องจากข้อมูลสนับสนุนการก่อให้เกิดมะเร็งยังไม่เพียงพอ สำหรับไกลโฟเซต องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ ได้จัดไกลโฟเซตอยู่ในกลุ่ม 2A คืออาจจะเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์โดยเฉพาะบุคคลที่ประกอบอาชีพจากการสัมผัสสารนี้เป็นประจำ อย่างไรก็ตามได้มีรายงานร่วมจากองค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติในปี ค.ศ.2016 สรุปว่าสารไกลโฟเซตไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งในมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหาร ส่วนคลอร์ไฟริฟอส องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ ยังไม่ได้จัดให้อยู่ในกลุ่มของสารก่อมะเร็ง เนื่องจากข้อมูลสนับสนุนการก่อให้เกิดมะเร็งนั้นยังไม่เพียงพอ” โดยระบุว่าเป็นคำตอบของ นพ.สกานต์ บุนนาค  ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

นพ.สกานต์ กล่าวต่อว่า การนำเสนอข้อมูลดังกล่าวเป็นการนำเสนอข้อมูลเพียงบางส่วนซึ่งไม่ครบถ้วน แต่ยังมีข้อมูลสำคัญด้านอื่นในหนังสือชี้แจงข้อมูลจากทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติที่ไม่ได้ถูกนำมาเสนอ เช่น งานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ในประชากร 57,311 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรพบว่า ผู้ที่เคยใช้สารพาราควอตอาจมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่เคยใช้สารพาราควอต อย่างไรก็ตามปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งนั้นมีหลายประการจึงยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าสารพาราควอตเป็นสารก่อมะเร็ง ส่วนสารไกลโฟเซตมีการศึกษาด้านพิษวิทยาที่แสดงให้เห็นว่าสามารถทำลายดีเอ็นเอซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ข้อมูลวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าหากได้รับหรือสัมผัสสารไกลโฟเซตเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งไต มะเร็งตับ และมะเร็งเต้านม แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนจากการติดตามในมนุษย์ ส่วนคลอร์ไพริฟอสมีการศึกษาของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่มีการสัมผัสสารคลอร์ไพริฟอสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอด นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าคลอร์ไพริฟอสเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากให้สูงขึ้นในกลุ่มประชากรที่มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (EPA) จึงได้ประกาศให้หยุดใช้สารคลอร์ไพริฟอสในอาหารทุกชนิดเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะในเด็กและผู้ปฏิบัติงานด้านเกษตรกรรม เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีข้อมูลจากงานวิจัยที่เชื่อถือได้จำนวนมาก แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของการเกิดมะเร็งกับสารกำจัดศัตรูพืชทั้ง 3 ชนิดนี้ แม้จะยังไม่ชัดเจนพอที่องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติจะจัดให้สารทั้ง 3 ชนิดอยู่ในกลุ่มของสารก่อมะเร็ง เพราะงานวิจัยด้านนี้สามารถทำในสัตว์ทดลองแต่ไม่สามารถทดลองในคนโดยให้คนรับสารกลุ่มนี้เข้าสู่ร่างกายแล้วติดตามผลระยะยาวได้ เนื่องจากมีข้อมูลที่ชัดเจนว่าอันตรายต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ จึงต้องใช้การติดตามสังเกตุจากผู้ใช้จริง และต้องใช้ระยะเวลาติดตามนานหลายปี ซึ่งระหว่างติดตามมักจะมีปัจจัยอื่นๆ อีกมาก ที่ส่งผลต่อสุขภาพและการเกิดโรคมะเร็งทำให้ข้อมูลที่ได้ไม่ชัดเจน ทั้งนี้ ยังไม่มีองค์กรใดออกมารับรองความปลอดภัยว่าสารทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่นเดียวกับในกรณีขององค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติที่สรุปว่าสารไกลโฟเซตไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของโรคมะเร็งในมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหาร แต่ก็ไม่ได้สรุปว่าจะไม่เสี่ยงเกิดโรคมะเร็งผ่านการสัมผัสทางอื่นๆ นอกจากนี้สารทั้ง 3 ชนิดยังก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงได้นอกเหนือจากความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ดังนั้น สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นองค์กรด้านสุขภาพระดับชาติ ขอยืนยันจุดยืนเดิมในการร่วมต่อต้านการใช้สารพาราควอต สารไกลโฟเซต และสารคลอร์ไพริฟอส ตามที่เคยได้ประกาศและรณรงค์ร่วมกับหน่วยงานสุขภาพอื่นๆ มาก่อนหน้านี้