เปิดใจลูกสาวผู้ถูกกล่าวหาทำ ด.ญ.วัย 12 ปีท้อง ตั้งแต่เกิดเรื่องพ่อใช้ชีวิตลำบาก เครียด งานก็ไม่ได้ทำ ไม่มีรายได้ ต้องขายวัวมาดำรงชีพในครอบครัว
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 65 ผู้สื่อข่าว จ.มุกดาหารรายงานว่า จากกรณีจากเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2564 แม่ของ ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 12 ปี และได้พา ด.ญ.เอเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร กล่าวหานายโสภณ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา ด.ญ.เอ จนตั้งท้องและคลอดบุตรสาว เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2564 นั้น
น.ส.พนารัตน์ (ขอสงวนนามสกุล) ลูกสาวนายโสภณ อายุ 24 ปี ชาว อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจในผลตรวจดีเอ็นเอของพ่อไม่ตรงกับเด็กที่เกิดมา ส่วนตัวไม่ตกใจเพราะรู้อยู่แล้วว่า ผลตรวจมันไม่ใช่เพราะพ่อไม่ได้ทำ ความจริงคือความจริง ช่วงแรกการเป็นอยู่ของครอบครัว จากปกติพ่อเป็นเสาหลัก ตนยังไม่ได้ทำงาน พ่อไม่สามารถไปกรีดยางได้เหมือนก่อน ไม่สามารถไปรับจ้างขนอ้อยได้ รับเหมาทำบ้านก็ไม่มีคนจ้าง รายได้เป็นศูนย์อาศัยขายทรัพย์สินประทังชีวิตครอบครัวไปก่อน ขายวัว ขายสมบัติที่สะสมไว้ ขายทุกอย่างไม่เหลืออะไรเลย เมื่อคืนพ่อได้จุดธูปสาบานว่าไม่ได้ทำ และวันแรกพ่อไปสถานีตำรวจ พ่อขอตรวจดีเอ็นเออยากพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำ ถึงเด็กจะพูดก็ตาม แต่พ่อไม่ได้ทำคือไม่ได้ทำแกบอกแบบนี้ พ่อได้ตรวจ 2 ครั้ง ก็ไม่เจอ รู้สึกโล่งอกรู้อยู่แล้วว่าพ่อไม่ได้ทำ ไม่ได้ไปยุ่งกับตัวเด็กตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อยากไห้สังคมให้มองเรื่องนี้เป็นเหรียญสองด้าน เหรียญจะมีด้านดีและไม่ดีเสมอ อย่าตัดสินคนเราแค่ฉากละครฉากเดียว อยากให้ดูจนจบ อยากให้ทุกคนเห็นใจว่าฝั่งเราโดนกระทำ อยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ อยากใช้ชีวิตปกติอย่างเดิม อยากไปทำงานเหมือนเดิม อยากมาใช้ชีวิตกับคนในหมู้บานเหมือนเดิม
น.ส.พนารัตน์ กล่าวต่อว่า ตอนที่อยู่บนโรงพักได้ถามพ่อว่า พ่อทำไหม พ่อตอบว่า พันเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ทำ แกบอกว่าจะทำทำไม แกก็มีลูกสาว เข้าใจหัวอกคนมีลูกสาว แกบอกไม่ทำเด็กหรอก ส่วนตัวเองมี หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ไม่เชื่อ ก็รอผลตรวจเหมือนกัน ผลตรวจรอบแรกก็โล่งใจ คือยังไงพ่อก็ไม่ทำ พอรอบ 2 เขาให้ตรวจอีก ตอนแรกว่าจะยึดผลตรวจรอบแรก ก็คิดว่าเราไม่ได้ทำจะกลัวทำไม เลยต้องตรวจรอบ 2 ผลออกมาก็ไม่ตรง เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทางครอบครัวจะไม่ยุ่ง มอบให้ทนายความเป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องคดีทางตำรวจจะไม่ไปยุ่ง ตอนนี้นิ่งดีกว่าอยากให้มันจบ ส่วนฝั่งโน้นอยากให้เขานิ่ง เพราะจะส่งผลกระทบกับเด็ก ส่งผลแน่นอน โตขึ้นมาเขาดูข่าวมีพ่อคนเดียวกันกับแม่ อยากให้ฝั่งโน้นเขาหยุด สงสารเด็กครอบครัวสำคัญสุด เปิดใจคุยกัน
"ได้ถามพ่อว่าได้ทำมั๊ย ถ้าพ่อทำพ่อรับนะ แกบอกไม่ได้ทำ เราถึงเชื่อมั่นในตัวของพ่อ บวกกับผลตรวจดีเอ็นเอด้วย จึงเชื่อมั่นพ่อ อยากให้ครอบครัวเป็นจุดเซฟโซนจริง ๆ ให้เด็กกล้าพูดออกมาว่า ใครเป็นคนทำเขา"น.ส.พนารัตน์ กล่าว