"หมอโอ๋"ชี้ความสูญเสียจากเหตุไฟไหม้วิลล่าหรูตีค่าเป็นราคาไม่ได้

2022-03-08 18:23:09

"หมอโอ๋"ชี้ความสูญเสียจากเหตุไฟไหม้วิลล่าหรูตีค่าเป็นราคาไม่ได้

Advertisement

"หมอโอ๋"เจ้าของเพจดัง "เลี้ยงลูกนอกบ้าน" ชี้ความสูญเสียจากเหตุไฟไหม้วิลล่าหรูตีค่าเป็นราคาไม่ได้  เชื่อความรับผิดชอบอย่างจริงใจเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นผู้บริหารมืออาชีพ

เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า   ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ "หมอโอ๋"  กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล  เจ้าของเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน  ได้โพสต์เล่าเหตุการณ์หนีตายจากวิลล่าหรูบนเกาะกูด จ.ตราด จากเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวันที่ 6 มี.ค.65 ระบุว่า เมื่อวันแสนสุขกลายเป็นโศกนาฏกรมขอเขียนเล่าในนี้ เพราะข่าวเริ่มไป คนโทรมามากมายเต็มไปหมด บ้านหมอและครอบครัวน้องชายทั้งหมด 15 คน มาเที่ยวโรงแรมชื่อดังที่เกาะกูด จ.ตราด ในขณะที่เรากำลังมีความสุขเพราะโรงแรมสวยงามมาก เราอยู่ร่วมกันแบบมีแต่เสียงหัวเราะแห่งความสุข 

เพิ่งมานอนกันได้คืนเดียว เช้าตรู่ก็เกิดเรื่อง ขณะหลับอยู่ หมอได้ยินเสียงคุณแม่ตะโกนโวยวายจากชั้นล่าง ว่าไฟไหม้ๆๆ ออกมาก็เจอไฟก้อนมหึมา ไหม้บ้านตรงกลางทั้งบนล่าง ปิดบันไดทางลงเรียบร้อย  ครอบครัวหมอเป็นบ้านเดียวที่อยู่ชั้น 2 หมอกลับไปตะโกนเรียกสามีและลูกสาว สามีสติดีชวนวิ่งหนีไฟมาอีกฝั่ง แล้วให้ทุกคนปีนข้ามระเบียงมาตรงหลังคา แต่โชคไม่ดี ระเบียงที่เกาะไม้ไม่แข็งแรง ไม้หลุด สามีไถลไปข้างหน้า โชคดีสามีมีเลือดจาพนมในตัว  เกาะต้นไม้โดดลงไปข้างล่างทัน  เบเน่ลงเป็นคนที่สอง ค่อยๆไต่หลังคาลงไปเหมือน spider man


หมอข้ามระเบียงลงไป กำลังจะยื่นมือไปจับเบเน่ จากนั้น ก็จำอะไรไม่ได้อีก ตื่นมาเห็นสามีตะโกนเรียก "หม่ามี้ๆๆๆ" อย่างบ้าคลั่ง พร้อมน้ำตานองหน้า เบเน่ร้องไห้ พูดแต่ "เบเน่รักหม่ามี้ๆๆ นะ” เลยต้องตื่นมาบอกทุกคนว่า "แม่ยังไม่ตายจ้ะ"  หลังจากนั้นก็เบลอจำอะไรไม่ได้ มารู้ตัวอีกที คือ อยู่ในเตียงเตรียมเคลื่อนย้าย ขึ้น speed boat ไป รพ.

สามีผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บอกว่าหมอข้ามระเบียงออกมาแล้วเกาะไม้ระแนงตรงระเบียง ปรากฏว่าไม้ที่ไม่แข็งแรงทำให้หมอหลุด คว่ำหน้าไถลลงหลังคา ตกจากหลังคาสูงเกือบ 4 เมตร ก้นกระแทก หัวฟาดพื้น แล้วสลบไป เลือดกลบปาก เรียกไม่ตื่น สามีตกใจมากก แต่ก็ต้องหันไปช่วยลูกสาวที่ยังอยู่บนหลังคาและกำลังห้อยตัวกระโดดลงมา แล้วก็กลับมาช่วยหมออีกที สามีบอกว่าเหมือนฉากหนังจีนที่นางเอกกำลังกระอักเลือดตาย เรียกไม่ตื่น 

สรุป หมอมีการบาดเจ็บที่ศีรษะ หัวแตก มีแผลที่หัวและหน้าเย็บไป 10 กว่าเข็ม มีกระดูกสันหลังตำแหน่ง T12 หัก แต่ไม่มีระบบประสาทผิดปกติอะไร ยังไม่ต้องผ่าตัด (สามีโชคดีไป) แต่ตอนนี้ต้อง absolute bed rest ยานก่อน

สามีมีแผลถลอกทั่วตัว กับเอ็นข้อมือบาดเจ็บ (แต่สำหรับหมอผ่าตัดกระดูกสันหลังมันก็เป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ ) เบเน่เป็นคนเดียวที่ปลอดภัย ไม่มีบาดแผลใดๆ (วิชายิมนาสติกที่เรียนมาช่วยชีวิตไว้ได้จริงๆ) สภาพจิตใจหมอโอเค (เพราะจำอะไรไม่ค่อยได้ ) เบเน่สบายมาก ยังร่าเริงสดใส แข็งแกร่งสุดในปฐพี คอยดูแลแม่ไม่ห่าง แต่พี่เบนซ์ สามีผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ยังคงร้องไห้ตลอดวัน โดยเฉพาะเวลาเล่าเรื่องนี้ จนตอนนี้เริ่มสงสัย ว่าที่ร้องไห้นี่เป็นเพราะเสียใจ ว่าทำไมเมียรอดมาได้รึเปล่า ล้อเล่นๆๆ เมื่อคืนสามีมากอด แล้วร้องไห้ บอกว่า "แด๊ดดี้รักหม่ามี้นะ นึกว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว" เหตุการณ์นี้คงบีบคั้นความรู้สึกของเขาจริงๆ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้เลยว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตจริงๆ แต่พอสติมา ก็แอบเสียใจที่ไม่ได้หันไปเอาคอมพิวเตอร์ iPad ทั้งหมดออกมาได้ ข้อมูลงานทั้งหมดของเราสองคนอยู่ในนั้น เบเน่ก็คอยปลอบใจแม่ว่า เรารอดออกมาอยู่ด้วยกัน มันก็พอแล้วนะหม่ามี้ แต่สิ่งที่อยากบอกทุกคนก็คือ เราเพิ่งรู้หลังเกิดเหตุการณ์ ว่าโรงแรมระดับนี้ ไม่มีเครื่อง detect ควัน ไม่มีสัญญาณเตือนภัย ไม่มีสปริงเกอร์พ่นน้ำ ชั่วโมงกว่าเท่านั้น วิลล่าหลังใหญ่ของที่นั่น ก็หายไปในพริบตา โดยไม่มีใครทำอะไรได้เลย สาเหตุเค้าคิดว่าเป็นจากไฟฟ้าลัดวงจร เพราะขณะนั้นยังไม่มีใครตื่น

ครอบครัวหมอมีทรัพย์สินที่สูญเสียไปในกองเพลิงจำนวนมาก กับความประมาทที่เกิดขึ้น โรงแรมยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบอะไรในเรื่องนี้ ไปพักที่ไหน อย่าดูแค่ดาว แล้วหลงไว้ใจเรื่องความปลอดภัยเหล่านี้นะคะ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าแม่ไม่ตื่นมา ชีวิตพวกเราที่มีทั้งคุณแม่ เด็ก 4 คน น้องสะใภ้ที่ท้องอยู่ ถ้ามีใครสักคนต้องสูญเสียไปในกองเพลิง พวกเราทุกคนจะรู้สึกยังไง มันไม่มีอะไรมาทดแทนได้จริงๆ อย่าลืม กอดและบอกรักคนข้างๆ กันบ่อยๆ นะคะ ทำในสิ่งที่มันสำคัญสำหรับชีวิตจริงๆ ชีวิตมันอาจจะสั้นกว่าที่เราคิด และฝึกสติกับชีวิตประจำวันเสมอ

ระหว่างนี้ขออภัยที่ต้องยกเลิกงานต่างๆ ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนนี้ด้วยนะคะ #หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน  ผู้ที่สามีบอกว่าตอนสลึมสลือไม่ค่อยรู้ตัว ได้แต่พูดว่า “หนูอดไปงานอาจารย์ประเสริฐ วันพุธนี้เลย ฮือๆๆๆ”


"หมอโอ๋" โพสต์ด้วยว่า  ความสูญเสียหลายอย่างตีค่าเป็นราคาไม่ได้  พอดีมีคนส่งมาให้ หมอไม่ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้บริหารโรงแรมจริงหรือเปล่านะคะ แต่อยากเรียนให้ทราบว่า ส่วนตัวหมอไม่ได้มีปัญหากับพนักงานที่โรงแรมนี้เลย เพราะพนักงานทุกคนน่ารักมาก แม้เพิ่งจะมาพักได้วันเดียว ก็รู้สึกว่าทุกคนมี service mind ที่ดีจริงๆ ยิ่งกับผู้บริหารก็ยิ่งไม่อยากมีปัญหา เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าทำโรงแรมระดับนี้ นี่เค้าจะใหญ่โตกันขนาดไหน เราทราบว่าไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุ เราก็เข้าใจว่าอุบัติเหตุมันเกิดได้ แต่โรงแรมระดับนี้ มันควรมีระบบป้องกันชีวิตที่ปลอดภัย หรือมีระบบช่วยให้เรารอดได้มากกว่านี้

หมอเขียนเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ว่าตลอดเวลาของการเกิดไฟไหม้ ไม่มีใครได้ยินเสียงสัญญาณเตือนใดๆ ไม่มี springer ไม่มี smoke detector ทำงาน มีแต่เสียงเรียกโวยวายของพวกเรากันเองเท่านั้น พนักงานมาถึงตอนที่พวกเราหนีตายกัน “ออกมาเอง” หมดแล้ว โดยการที่เราได้โทรตามบัทเลอร์ประจำห้องทางมือถือ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่ต้องขอบคุณพนักงานของโรงแรมมากๆ ที่ได้ช่วยเหลือ ทำแผล และเคลื่อนย้ายหมอไปโรงพยาบาลแบบปลอดภัยเป็นอย่างดี

หมอได้อ่านแถลงการณ์ของโรงแรมแล้ว ที่บอกว่าโรงแรมมีระบบ smoke detector “ที่ห้องนอน” ทุกห้อง เป็นไปได้ว่า ห้องที่เกิดไฟไหม้ “ไม่ใช่ห้องนอน” แต่เป็นห้องส่วนกลางของวิลล่า เพราะเราทุกคนที่อยู่ในห้องนอน ยังไม่เจอไฟ เลยหนีตายออกมาได้ทัน


วันที่หมอต้องมาโรงพยาบาลใน จ.ตราด ครอบครัวที่เหลือตัดสินใจที่จะอยู่ต่อเพื่อรอดูอาการหมอว่าหนักมั้ย และอยากเดินทางกลับพร้อมกัน ครอบครัวได้ไปนอนที่ห้องพักขนาด 5 ห้องนอน ซึ่งคล้ายกับ 6 ห้องนอนที่เราเคยพัก

น้องชายหมอก็ถามผู้บริหารว่าหลังนี้ พื้นที่ส่วนกลางที่ไม่ใช่ห้องนอน มีเครื่องตรวจจับควันหรือไม่ ผู้บริหารยอมรับเองว่า “ไม่มี” และยังพูดว่าจะติดตั้งเพิ่มเติมให้ โรงแรมสามารถออกมาบอกได้นะคะว่าเราได้พบปัญหาที่จุดนี้ และเราจะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น ดีกว่าการออกมาบอกในแถลงการณ์ ที่ทำให้คนเข้าใจว่าเรากล่าวหาโรงแรม จากประโยคที่เขียนว่าคนเสียหายที่สุด คือ “โรงแรม”หมออยากให้เข้าใจว่า ความสูญเสียบางอย่างตีเป็นมูลค่าไม่ได้

คุณแม่หมอ สูญเสียโทรศัพท์ 2 เครื่อง ที่เป็นของคุณพ่อและคุณแม่ ภาพความทรงจำถึงคนที่จากไปทั้งหมดอยู่ในนั้น แบบที่มันเรียกคืนมาไม่ได้ ยังไม่รวมถึงแหวน นาฬิกา แทนใจที่คุณพ่อให้คุณแม่ไว้ตอนมีชีวิตอยู่หมอและสามี ที่เป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์ เสียข้อมูลที่เราต้องใช้สอน ทำวิจัย ไปกับคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ซึ่งเรื่องนี้สำหรับเรา มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ที่นึกถึงทีไรก็อยากร้องไห้ทุกที

สามีที่เป็นหมอผ่าตัด อาจใช้งานมือข้างขวาที่บาดเจ็บไม่ได้ไปอีกพักใหญ่  ลูกสาวหมอ สูญเสียของเล่น ตุ๊กตา สมุดบันทึกที่เค้ารักมาก ตอนนี้หมอกระดูกสันหลังยุบ ต้องใส่เสื้อเกราะ ขับรถไม่ได้ไปอีกหลายเดือน ยังไม่รู้ว่าจะมีปัญหาการปวดหลังเรื้อรังระยะยาวมั้ย  ที่สำคัญ ไม่อยากนึกเลยว่าที่หมอและสามีต้องตกลงมา เพราะรั้วระเบียงที่เป็นไม้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี แล้วถ้ากระดูกหลังหักจนพิการ มันจะเจ็บปวดขนาดไหน หรือถ้าเราตกมาสลบทั้งคู่ ลูกที่ติดอยู่บนนั้น จะทำอย่างไร? สิ่งเหล่านี้ มันตีค่าเป็นมูลค่าไม่ได้จริงๆ

ที่สำคัญคือ เราเสียเงินมารีสอร์ท เพราะต้องการมามีความสุข ไม่ใช่มาหนีตายกันแบบแทบเอาชีวิตไม่รอด จนหลายคนตอนนี้ยังนอนไม่ได้ เพราะมีภาพไฟหลอนอยู่ตลอด สำหรับเรื่อง “คดีพลิก” ว่าอาจไม่ใช่ความผิดของโรงแรม ตอนเหตุการณ์ไฟไหม้ เป็นเวลาประมาณ 6 โมงกว่าๆ เราทุกคนยัง “ไม่มีใครตื่น” บ้านเราไม่มีใครสูบบุหรี่ ไม่ได้มีปาร์ตี้ ไม่ได้มีปิ้งย่างใดๆ (มีคนส่งมาให้ดูว่ามีคน(แอบอ้าง?) เป็นพนักงานโรงแรมเขียนคอมเมนท์ว่าสืบแล้วบอกว่า อาจเกิดจากบุหรี่?? เอิ่ม อย่าใช้วิธีแบบนี้เลยนะคะ)

โชคดีตอนกำลังจะหนีไฟลงมาจากชั้น 2 หมอหันไปถ่ายรูปกองเพลิงขนาดใหญ่ไว้ เผื่อโรงแรมจะใช้เป็นหลักฐานว่าไฟเริ่มจากตรงไหน ซึ่งส่วนที่เพลิงไหม้นั้น คือพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นห้องนั่งเล่น ลามไปปิดบันไดลงด้านล่างไว้ ทำให้หมอต้องหนีตายมาทางหลังคาด้านข้าง ไม่คิดว่าภาพนี้สุดท้ายจะต้องมาใช้มาเป็นหลักฐานปกป้องตัวเอง

คดีนี้ ถ้าจะพลิก ก็คงจากเงินและอิทธิพลจริงๆ หมอขอบคุณที่ทางโรงแรมช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลของหมอแบบไม่มีข้อต่อรองใดๆ นะคะ เราก็ได้แต่หวังว่า โรงแรมจะช่วยรับผิดชอบกับทรัพย์สินที่เราสูญเสียไปแบบตรงไปตรงมา เอาจริงๆ กรณีแบบนี้ ถ้าเป็นฝรั่งคงฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันแบบบานตะไทแน่ๆ เราก็ไม่ได้อยากไปให้ถึงจุดนั้น เพราะไม่ว่าเท่าไหร่ มันก็ไม่คุ้มกับชีวิตที่ต้องเป็นอันตรายของพวกเราจริงๆ (แต่การตอบสนองแบบนี้ นี่เริ่มคิดนิดๆละ เผื่อจะได้เลิกทำงานงกๆ กะเค้ามั่ง )

อ้อๆๆๆ อีกอย่าง ตอนนี้คนพูดกันใหญ่ว่าหมอโอ๋รวยมากก นอนพักวิลล่าคืนละ 500,000 พอดีคุณแม่หมอรู้จักกับเพื่อนของผู้บริหาร เราเลยได้ส่วนลดมากพอสมควร และราคาตอนนี้จริงๆ ก็ไม่ถึงแล้ว และเราไม่ได้รับสปอนเซอร์ ไม่ได้รับรีวิวใดๆ เราจ่ายเงินทั้งหมดเต็มจำนวน  ส่วนใหญ่น้องชายของหมอ ที่เป็นนักธุรกิจ ชื่อคุณอ้ำ สามีน้องแยม ธมลพรรณ์ อดีตดาราช่อง 7 ก็เป็นคนช่วยจ่ายหลักค่ะ  ส่วนหมอก็มาอาศัยใบบุญน้องชายไปเที่ยว เราทั้งคู่ยังต้องทำงานหาเงินงกๆ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ กันอยู่ค่ะ ใครอยากจ้างไปสอน ทำ workshop อะไร รับหมดเลยนะคะ อ้อๆ ลืมไป ตอนนี้ยังใส่แพมเพริ์ส นอนฉี่อยู่บนเตียงอยู่ ขอบคุณสำหรับทุกคนที่เป็นกำลังใจให้บ้านเรานะคะ#หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน  ผู้เชื่อว่าความรับผิดชอบอย่างจริงใจเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นผู้บริหารมืออาชีพ

ขอบคุณเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน