กมธ. การเงินฯ หารือ ธปท. และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ขยายเวลาการทำธุรกรรมบัญชีเพย์พาลออกไปจนกว่าจะจัดทำระบบ KYC แล้วเสร็จ
เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่รัฐสภา มีการประชุมของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจาณา กรณี กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของบริษัทเพย์พาล ประเทศไทย จำกัด ปรับเปลี่ยนนโยบายการโอนเงินข้ามประเทศให้กับผู้ใช้งานทั่วไป ผ่านระบบ Paypal ซึ่งจะมีผลในวันที่ 7 มี.ค.นี้ โดยกำหนดให้บุคคลทั่วไปต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จึงจะสามารถดำเนินการรับโอนเงินได้นี้เข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งการประชุมในวันนี้ มีตัวแทนจากการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัวแทนเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน( ป.ป.ง.) และตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการเข้าร่วมประชุม ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นเรื่องต่อ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร
ตัวแทนการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ได้รับทราบปัญหาความเดือดร้อน ผลกระทบต่อการค้าขายแล้ว แต่เนื่องจาก Paypal ซึ่งอยู่ภายใต้ระบบของประเทศสิงคโปร์ เมื่อให้บริการคนไทย ก็ต้องมาอยู่ภายใต้การดูแลของ ธปท. เพื่อคุ้มครอง และดูแลผู้ใช้งานคนไทย ซึ่งการพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้บริการ Paypal หรือที่เรียกว่า KYC นั้นเป็นขั้นตอนการดำเนินการเพียงส่วนหนึ่งในการป้องกันการฟอกเงินตามกฎหมายของ ป.ป.ง. ทั้งนี้ ธปท. และ ป.ป.ง. ขอเพียงแค่ผู้ใช้งานสามารถยืนยันพิสูจน์ตัวตนได้ ไม่ว่าจะเป็นการพิสูจน์ตัวตนแบบส่วนบุคคล หรือในนามนิติบุคคลก็สามารถกระทำได้เหมือนกัน ดังนั้นในประกาศของ Paypal (ประเทศไทย) ที่มีการยืนยันให้ผู้ใช้งานบัญชี Paypal เพื่อทำธุรกรรมรับโอนเงินจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบบัญชีไปเป็นระบบนิติบุคคลเพื่อทำระบบยืนยันตัวตนแบบ KYB นั้นจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ ธปท. ได้ร่วมหารือกับผู้แทน Paypal (ประเทศไทย) เพื่อเร่งหาข้อยุติถึงผลกระทบที่เกิดกับประชาชนจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ Paypal โดยขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนนำเสนอทางออกให้ผู้บริหาร ธปท. ลงนามเพื่อสามารถดำเนินการแก้ปัญหาและเยียวยาประชาชนต่อไปก่อนที่ระบบบัญชี Paypal จะระงับการให้บริการในวันที่ 7 มี.ค.นี้
ด้าน น.ส.วทันยา เปิดเผยว่า กมธ.ได้เชิญตัวแทน ธปท. สมาคมผู้ประกอบการออนไลน์รายย่อย ป.ป.ง. และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มาร่วมหารือถึงทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนแบบ KYB ของ Paypal ซึ่งวันนี้ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นแล้วว่า มาตรฐานการยืนยันตัวตนตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของ ป.ป.ง. นั้น สามารถใช้การยืนยันแบบบุคคลธรรมดา โดยขอมีเพียงแค่บัตรประจำตัวประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตก็สามารถยืนยันตัวตนตามที่กฎหมายต้องการได้แล้ว หรือหากกรณีต้องการยืนยันในรูปแบบการดำเนินการธุรกิจ ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้าก็ให้คำแนะนำว่า การจดทะเบียนการค้ากับกระทรวงพาณิชย์ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการยืนยันตัวตนแบบ KYB ตามเงื่อนไขของ ป.ป.ง. ดังนั้นประชาชนไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแบบนิติบุคคลซึ่งจะมีต้นทุนในการทำธุรกรรมและดำเนินงานที่สูงกว่ามาก
น.ส.วทันยา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ธปท. ได้มีแนวทางให้ Paypal (ประเทศไทย) ขยายระยะเวลาการใช้งานบัญชีแบบที่สามารถรับโอนเงินได้ออกไปจนกว่าทาง Paypal จะดำเนินการจัดทำระบบยืนยันตัวตนแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน และ Paypal จะต้องดำเนินการยืนยันตัวตนลูกค้าในระบบของ Paypalให้เสร็จสิ้นภายใน 3 เดือนหลังที่จัดทำระบบเสร็จ ในส่วนของความเสียหายของประชาชนที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิดพลาดของ Paypal ทาง ธปท. ก็ได้หารือกับ Paypalให้หาวิธีการเยียวยาประชาชนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น