ประธานเล่นยา-ใช้ความรุนแรง ค่ายเพลงถูกยุบ "ลูกหนัง ศีตลา" ความวายป่วงมาเยือน (มีคลิป)

2021-12-30 11:45:22

ประธานเล่นยา-ใช้ความรุนแรง ค่ายเพลงถูกยุบ "ลูกหนัง ศีตลา" ความวายป่วงมาเยือน (มีคลิป)

Advertisement


ความวายป่วงมาเยือน "ลูกหนัง ศีตลา" ประธานเล่นยา-ใช้ความรุนแรง ค่ายเพลงถูกยุบ อนาคตช่างดำมืด





หลังจากมีดราม่าโดนชาวเน็ตยี้ เพราะมีประวัติยุ่งเกี่ยวกับ กปปส. สำหรับ "ลูกหนัง ศีตลา" ลูกสาว "ตั้ว ศรัณยู" ส่อความวายป่วงมาเยือนอีกรอบ เพราะล่าสุดประธานค่าย Ja Mezz แรปเปอร์ชื่อดัง ยังเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง และเสพยาเสพติด จนถึงขั้นออกมาประกาศยุบค่ายอย่างกะทันหัน





เส้นทางความฝันการเดบิวต์ขึ้นเป็นนักร้องเกาหลีของสาวน้อยคนนี้ดูๆ แล้วทำไมช่างยากช่างเย็นกว่าคนอื่นๆ เสียเหลือเกิน สำหรับ "ลูกหนัง ศีตลา" กับวง "H1-KEY" ที่ก่อนหน้านี้ โลกออนไลน์และโซเชียลได้ออกแคมเปญ #แบนลูกหนัง ด้วยการขุดอดีตของลูกหนังที่เข้าไปมีส่วนพัวพันกับม็อบ กปปส. 2557 อันนำไปสู่การรัฐประหาร และ "ตั้ว ศรัณยู" พ่อของลูกหนัง ก็เคยเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนสื่อใหญ่ในเกาหลีตีข่าวเรื่องนี้อย่างครึกโครม ซึ่งสุดท้ายทางค่ายยืนยันมั่นเหมาะว่า จะยังคงดันลูกหนังให้เดบิวต์เป็นนักร้องต่อไป



ล่าสุด ความซวยเหมือนจะยังไม่หยุดทำงาน  เมื่อ Ja Mezz (จาเมซ) แรปเปอร์ชื่อดัง และเป็นประธานค่าย Grandline ได้ออกมาเผยข้อมูลอีกด้าน หลังจากที่แฟนเก่าของ Ja Mezz บอกว่าเขามีพฤติกรรมที่รุนแรงกับผู้หญิงขณะที่มีเพศสัมพันธ์ และขุดประวัติเรื่องการใช้ยาเสพติดของ Ja Mezz อีกด้วย





ทั้งนี้ Ja Mezz ได้ออกมาอธิบายว่า ในโลกออนไลน์ของเกาหลีได้มีการตั้งห้องแชตที่ใช้ชื่อว่า “un-silence ja mezz” และแฟนเก่าของ จาเมซที่ใช้ชื่อว่า นางสาวเอ (นามสมมติ) ได้ออกมาแฉแหลกถึงพฤติกรรมหลายอย่างของเขา ซึ่ง Ja mezz ได้แยกออกมาเป็นข้อๆ ดังนี้

แฟนเก่าลงบันทึกประจำวัน กล่าวหาจาเมซใช้ความรุนแรงกับเธอ

จาเมซ เผยว่า เหตุการณ์นี้ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2564 เมื่อทั้งจาเมซและเอ ทะเลาะกันในรถ จาเมซพยายามที่จะเดินออกมา จึงเปิดประตูเพื่อลงจากรถ แต่เอได้ขยุมคอเสื้อของจาเมซเอาไว้เพื่อให้อยู่เคลียร์กันก่อน ด้วยความที่ทั้งคู่โมโหและอารมณ์ร้อน จึงทำให้ทั้งคู่ตบตีกัน เอใช้ความรุนแรงกับจาเมซตลอดเมื่อเวลาที่โมโห อารมณ์เสีย แต่ครั้งนี้จาเมซก็ผลักและใช้ความรุนแรงคืนบ้าง ทำให้เอไปแจ้งความกับตำรวจว่าถูกจาเมซทำร้าย



ตำรวจบอกว่า ทางเอจะไม่เอาเรื่องจาเมซถ้าจาเมซยอมขอโทษ แต่จาเมซรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้วเพราะเขาต่างหากที่ถูกตบตี เขาเลยไม่ยอมขอโทษ และนั่นทำให้จาเมซต้องเขียนคำสารภาพทั้งหมดลงไป จาเมซเลยถามตำรวจว่า “คนที่มาแจ้งความก่อน จำเป็นต้องเป็นเหยื่อหรือเปล่า” แต่ตำรวจบอกว่า “คุณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเขียนรายงานบันทึกประจำวันว่าต่างฝ่ายต่างใช้ความรุนแรงและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” แต่จาเมซไม่อยากทำแบบนั้นกับคนที่เขารัก เพราะเขามองว่า เขาแค่พยายามจะหลุดออกจากเหตุการณ์ความรุนแรงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทางเอมองว่าตัวเธอคือเหยื่อของความรุนแรง เพราะเธอตั้งใจที่จะลงบันทึกประจำวันเอาไว้ เอมองว่าเรื่องนี้จะเป็นธรรมได้ก็ต่อเมื่อได้รับคำขอโทษ และการที่ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ แตไม่แจ้งความดำเนินคดี ก็คือเป็นทางออกที่สวยที่สุดแล้ว แต่ทางจาเมซไม่ได้ลงบันทึกประจำวันแจ้งความกลับเพราะไม่อยากเอากฎหมายมาแก้ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์



รูปที่ปัดน้ำฝนหัก



จาเมซอธิบายเรื่องที่ปัดน้ำฝนหักว่า เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2564 ทั้งเอและจาเมซทะเลาะกัน เอได้เอามือถือของจาเมซไปแล้วขับรถหนี จาเมซต้องใช้มือถือติดต่อกับผู้จัดการเพราะวันต่อมาจะมีอีเวนต์ที่ต้องไปโชว์ตัว เอก็รู้ว่าจาเมซต้องใช้มือถือทำงาน และคิดว่าเอจะเอามือถือมาคืนให้ทัน แต่สุดท้ายเอก็ไม่เอามือถือมาคืน และจาเมซก็ติดต่อเอไม่ได้ จาเมซจึงออกตามหาเอจนทั่ว จนไปเจอกับรถของเอ จาเมซไปขวางหน้ารถไม่ให้เอขับรถหนี แต่เอก็ไม่ยอมและขับรถใส่จาเมซ พอรถเข้ามาใกล้ จาเมซกลัวว่ารถจะชนเลยกระโดดขึ้นกระโปรงหน้ารถเอ จาเมซโมโหสุด ๆ จนไม่มีสติ และยืนบนกระโปรงรถและเหยียบหน้ารถจนก้านปัดน้ำฝนหักพร้อมกับตะโกนว่า “เอามือถือกูคืนมา”



ข้อความ SMS ที่สถานีตำรวจระบุว่า ได้รับรายงานแล้วเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564

จาเมซ เล่าต่อว่า เขาได้ทะเลาะกันกับเอบนชั้นดาดฟ้าของอาคารแห่งหนึ่งในย่านเออร์วาน-ดง เอบอกจาเมซว่า “เพราะเธอคนเดียว ทำให้ฉันเกลียดที่จะมีชีวิตอยู่” “เธอคือคนที่ฆ่าฉัน” ซึ่งก่อนหน้านี้ เอเคยพยายามฆ่าตัวตายและข่มขู่จาเมซว่าสิ่งที่เขาทำ ทำให้เธอต้องจ่ายด้วยราคาชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับ จาเมซพยายามเข้าใจเอ แต่ยิ่งได้รับคำขู่มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้จาเมซใจเสียมากเท่านั้น (และนี่ทำให้ถึงจุดที่จาเมซบอกเอว่า ก็ไปตายเลยซะสิ)

เอเคยขู่จาเมซหลายครั้งว่าจะกระโดดตึกตาย และจาเมซคิดว่าคงไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นั่นทำให้จาเมซต้องโทร. หาตำรวจ โดยเอามือถือของเอมาโทร ซึ่งพอตำรวจมา ก็พยายามไกล่เกลี่ยจนสถานการณ์เบาบางลง ซึ่งก่อนที่ตำรวจจะมา ตำรวจก็จะส่งข้อความมาบอกว่าได้รับรายงานและกำลังเดินทางไป



ภาพที่จาเมซนั่งคุกเข่าบนพื้น

ภาพนี้ถ่ายที่บ้านของจาเมซ วันหนึ่งเอมาที่บ้านของจาเมซและทั้งคู่ก็ทะเลาะกัน ตอนนั้นพ่อแม่ของจาเมซอยู่ในบ้านด้วย และจาเมซไม่อยากให้พ่อแม่เห็นภาพที่ไม่ดี จาเมซอยากให้เอหายโกรธ จาเมซจึงทำตัวกึ่งเล่นกึ่งจริงด้วยการที่คุกเข่าเพื่อขอโทษเอ และไม่รู้ว่าเอจะถ่ายรูปนั้นแล้วเอามาประจาน



เรื่องที่จาเมซเสพกัญชาและ LSD

จาเมซยอมรับว่า ในอดีตเขาเคยเสพกัญขาและเสพ LSD และถ้าจะมีบทลงโทษใดๆ เขาก็ขอยอมรับไว้ ส่วนที่เอรู้เรื่องนี้ เพราะจาเมซเคยบอกเอผ่านแชต kakaotalk เอไม่เคยเห็นจาเมซเสพยาเสพติดด้วยตาของตัวเอง

หลังจากนั้น จาเมซได้หันไปรับงานเป็นผู้บรรยายในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และเป็นซีอีโอของค่ายแกรนด์ไลน์ (ค่ายต้นสังกัดของลูกหนัง ศีตลา) จาเมซหันมาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ พยายามแก้ไขสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก และยินดีที่ตัวเองได้หลุดพ้นและตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองแล้ว

สุดท้าย จาเมซได้กล่าวว่า ตัวเขาก็ไม่เคยเปิดเผยเรื่องชีวิตส่วนตัวขนาดนี้ แต่การได้เขียนเรื่องนี้ออกมา ก็ทำให้เขาโล่งใจไม่น้อย เขาไม่ได้บอกว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาทำผิดและต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และสุดท้าย เขาอยากขอโทษเอและครอบครัวของเธอด้วยที่เขาทำให้ทุกคนต้องเจ็บปวด



ซึ่ง จาเมซบอกว่า “ผมได้ลาออกจากการเป็นซีอีโอของแกรนด์ไลน์ และตอนนี้ก็ตัดสินใจแล้วว่า จะยุบค่ายแกรนด์ไลน์ ผมจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สืบสวน และไม่หนีความรับผิดชอบ ตอนนี้ก็ถึงช่วงสิ้นปีแล้ว ผมขอโทษที่ไม่สามารถนำข่าวดีๆ มาฝากทุกคนได้”

ในขณะเดียวกัน ก็มีข้อความที่ประกาศว่า ค่าย Grandline จะยุบค่ายนับตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งการตัดสินใจในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อข่าวฉาวของจาเมซ ซีอีโอของค่ายและนี่เป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างนักดนตรีและทีมงาน