“แพะชิงเพชร” เปิดใจชีวิตสุดรันทด หลังพ้นคุกแบกรับหนี้สินเพิ่ม

2017-12-18 17:20:36

 “แพะชิงเพชร” เปิดใจชีวิตสุดรันทด หลังพ้นคุกแบกรับหนี้สินเพิ่ม

Advertisement

“แพะชิงเพชร” เปิดใจ ชีวิตสุดรันทด หลังพ้นคุก เหมือนตายทั้งเป็น แบกรับภาระหนี้สินเพิ่ม ค้าขายซบเซา รถถูกยึด ยังรอศาลอุทธรณ์พิพากษา



เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าสำหรับคดี แพะชิงเพชร ถึงแม้จะมีการปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ที่เคยตกเป็นจำเลยในคดีชิงเพชรออกมาจากเรือนจำ คือ นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ อายุ 48 ปี พ่อค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ในชุมชนวัดกกต้อง ซอยสุขาวดี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม ที่เคยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีก่อเหตุชิงเพชรมูลค่ามากกว่า 15 ล้านบาท หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.บางเสาธง กทม. นำหมายศาลเข้าจับกุมที่บ้านเช่า เลขที่ 1 ในชุมชนวัดกกต้อง ซอยสุขาวดี ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2560ในข้อหาวิ่งราวเพชรมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2559 และมีการควบคุมตัวไปสอบสวนดำเนินคดี ทั้งที่เจ้าตัวให้การปฏิเสธ ยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด


จากนั้น ทางด้าน น.ส.ดารีวรรณ พ่อวงค์ อายุ 47 ปี ภรรยาและครอบครัว ได้ดิ้นรนต่อสู้เข้าร้องทุกข์ไปยังหลายหน่วยงาน รวมถึง กระทรวงยุติธรรม และดีเอสไอเพื่อหาความยุติธรรมให้ครอบครัว และนำพยานหลักฐานไปยืนยันพิสูจน์ความจริง ในกระบวนการยุติธรรมโดยทางผู้เสียหายต้องตกเป็นเหยื่อในคดีแพะ ถูกขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี นาน กว่า 7 เดือน จนกระทั่งศาลอาญาธนบุรี พิพากษายกฟ้อง ปล่อยตัวสู่อิสรภาพ เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2560 หลังกระทรวงยุติธรรม ได้ให้การช่วยเหลือ ในเรื่องของการหาพยานหลักฐาน มาหักล้างกับศาล จนได้มาซึ่งอิสรภาพ หลังทางกระทรวงยุติธรรม ได้มีการสืบสวนหาพยานหลักฐาน เพิ่มเติม จนพบหลักฐานสำคัญที่มาของการออกหมายจับ เกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ เชื่อมโยงกับขบวนการโจรกรรมเพชรที่มีการติดต่อกับผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงมีการตรวจสอบว่า หลักฐานสำเนาบัตรประชาชน ที่นำไปจดทะเบียนใช้ซิมโทรศัพท์ ไม่ได้เอาบัตรประชาชนตัวจริงไปยืนยันตามระเบียบของ กสทช. แต่เป็นสำเนาบัตรประชาชนเก่าที่หมดอายุ และยังเป็นชื่อเดิม ของนายพิสิษฐ์ คือ นายรังสิทธิ์ ทั้งที่มีการเปลี่ยนชื่อมาตั้งแต่ปี 2557 เป็นที่มาของเอกสารหลักฐานที่ขบวนการฉกเพชรทำขึ้นรวมถึงหลักฐานสำคัญของโรงพยาบาลนครพนม ที่ระบุว่า วันเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2559ผู้เสียหายยังอยู่ ในพื้นที่ จ.นครพนม และมีการไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ที่ กทม. รวมถึงพยานปากสำคัญอีก 17 ปาก ที่ยืนยันให้การช่วยเหลือ


ล่าสุดถึงแม้นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ อายุ 48 ปี พ่อค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง จะได้รับความอิสระ กลับมาอยู่กับครอบครัว โดยมีทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน รวมไปถึงกลุ่มเพื่อนในเฟซบุ๊คแฟนเพจPitbullzone ที่ได้เดินทางมาช่วยเหลือ ให้กำลังใจ ในการเปิดกิจการร้าน ส้มตำไก่ย่าง ในชื่อ แพะชิงเพชรปิ้งย่างสร้างชีวิต ภายในบ้านเช่า ส่วนภรรยาทำอาชีพเสริมสวย แต่สิ่งสำคัญ ทางเจ้าตัว เปิดใจว่า ถึงแม้จะได้รับความอิสระ แต่มันคือความเลวร้ายที่สุดในชีวิต ทั้งที่ต่อสู้สร้างชีวิตมากับ ภรรยามากว่า 30 ปี มีลูกชายด้วยกัน 1 คน อายุ 14 ขวบ ไม่เคยคิดทำผิดกฎหมาย หรือเอาเปรียบใคร แต่ต้องมาถูกกระทำด้วย ความบกพร่องของเจ้าหน้าที่บางคน ถึงแม้จะออกจากเรือนจำ ผลกระทบที่ตามมาคือ ภาระหนี้สิน รถถูกยึด รายได้ลดลง ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่าง เพราะการเยียวยา ต้องรอระยะเวลาให้กระบวนการยุติธรรม สิ้นสุด เนื่องจากยังต้องรอศาลอุทธรณ์ตัดสินพิพากษา




โดยนายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ อายุ 48 ปี แพะในคดีชิงเพชร พร้อมภรรยา คือ นางดารีวรรณ พ่อวงค์ อายุ 46 ปี พ่อค้าขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ชุมชนวัดกกต้อง ต.ในเมือง อ.เมืองนครพนม เปิดเผยถึงความรันทดของชีวิตว่า หลังตกเป็นแพะในคดีชิงเพชร ค่ากว่า 15 ล้านบาท ถึงแม้วันนี้จะได้รับการปล่อยตัว ซึ่งถูกจับกุมตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. 2560 เพราะตำรวจ กล่าวหาว่าชิงเพชรมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท จนกระทั่งถูกควบคุมตัวจากบ้านพัก จ.นครพนม ไปดำเนินคดี ในพื้นที่ สน.บางเสาธง กทม. และถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี รวมเป็นเวลา 210 วัน ก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือ จากหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ รวมถึงกลุ่มเพจชื่อดัง และสื่อมวลชน ในการนำเสนอข่าว จนมีการสืบสวนหาพยานหลักฐาน มาหักล้างความผิด ด้วยเหตุผลเพราะตำรวจจับผิดตัว เนื่องจากมีเอกสารหลักฐาน ที่มาของการออกหมายจับ ว่าเคยนำเอกสารหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน ไปเปิดใช้บริการโทรศัพท์มือถือ และเชื่อมโยงถึงหลักฐานในการก่อเหตุ แต่ตรวจสอบภายหลังเป็นเอกสารสำเนาเก่า หมดอายุ และมีการเปลี่ยนชื่อจาก นายรังสิทธิ์ มาเป็น พิสิษฐ์ ตั้งแต่ปี 2557 ก่อนเกิดเหตุ นอกจากนี้ยังมีพยานหลักฐาน ยืนยันชัดเจน ว่า ตนอยู่ที่ จ.นครพนม ตลอด ทั้งที่ตำรวจอ้างว่าไปก่อเหตุที่ กทม.
หลังถูกปล่อยตัวจากเรือนจำ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 ได้กลับมาทำอาชีพค้าขาย ไก่ย่าง ส้มตำ หมูปิ้ง แต่สิ่งที่ตามมาคือ ภาระหนี้สิน รถยนต์ถูกยึด ต้องทำงานใช้หนี้ ครอบครัวลำบาก ทั้งร่างกายสภาพจิตใจ ถึงแม้ได้ความอิสระกลับคืนมา แต่ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัวยังตามหลอกหลอน โชคดีได้กำลังใจจากเพื่อนบ้าน และผู้ใจบุญมาช่วยเหลือเพียงบางส่วนให้สามารถค้าขายได้


ตอนนี้อาศัยบ้านเช่าค้าขาย ทุกวันตนยังต้องนั่งเปิดสมุดบันทึก กว่า 200 หน้า ที่บันทึกเหตุการณ์ในเรือนจำไว้ โดยไม่เคยคิดว่าจะได้ออกมาอยู่กับครอบครัว เพราะยากจน ไม่มีเงินสู้คดี เชื่อเสมอว่า คนจนมีปัญหาต้องติดคุก ถึงได้ปล่อยตัวออกมา แต่ถามว่าใครรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ที่สำคัญ คดียังไม่สิ้นสุด ต้องรอกระบวนการยุติธรรมตัดสินอีก


นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ กล่าวอีกว่า เมื่อคดียังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอผลการพิจารณาตัดสินของศาลอุทธรณ์ หลังศาลชั้นต้นยกฟ้อง แต่อนาคตวันข้างหน้า ไม่มีใครรู้ได้ ถามหาความเมตตา ยังไม่มีหน่วยงานรัฐมาดูแลช่วยเหลือจริงจัง ทุกวันนี้ไม่แตกต่างจากตายทั้งเป็น ชีวิตครอบครัวพัง หลังต่อสู้ด้วยกันมา เกือบ 30 ปี เพราะความผิดพลาดของ จนท.บางกลุ่ม สุดท้ายใครรับผิดชอบ กว่ากระบวนการเยียวยามาถึง ทุกอย่างคงไม่เหลือ ทุกวันตื่นมาต้องอยู่ต้องกิน หากใครไม่เป็นครอบครัวเรา คงไม่รู้ถึงความเจ็บปวด ความเลวร้ายในชีวิต มันคงหลอกหลอนไปจนวันตาย หากไม่คิดถึงพ่อ แม่ ภรรยา ลูก เคยคิดว่าเขาน่าจะฆ่าผมให้ตายตั้งแต่วันแรกที่มาจับผมไป ไม่ต้องมาเจอสิ่งเลวร้ายขนาดนี้ แล้วถามคืนว่า จับผมไปทั้งที่ผมไม่ผิด แล้วซ้อมผมทำไม ผมผิดอะไร ชีวิตครอบครัวพวกผม มันพังหมดแล้ว มีใครคืนชีวิตที่มีความสุขแบบเดิมให้ได้ นายพิสิษฐ์ สุวรรณพิมพ์ แพะในคดีชิงเพชร กล่าวทั้งน้ำตา