ผู้ปกครองนักเรียนหญิง ป.6 แจ้งความครูโพสต์ภาพลูกสาวนั่งคุยกับเด็กผู้ชาย ฝ่ายครูยันไม่ได้มีเจตนาประจานทำให้ชื่อเสียง
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี ชาว อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น พร้อมด้วยสามี และบุตรสาว อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป. 6 รร.แห่งหนึ่งใน อ.สีชมพู เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.วรพล ศรีเชียงชา รักษาการ รอง ผกก.สอบสวน สภ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ให้ดำเนินคดีกับอาจารย์บี (นามสมมติ) อายุ 39 ปี ครู โดยอ้างว่าทำให้ครอบครัวอับอายเสียชื่อเสียง
น.ส.เอ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา ตนได้เห็นข้อความและภาพบนเฟซบุ๊กจากคุณครูท่านหนึ่งได้โพสต์ข้อความว่า "ประกาศๆๆๆ เตือนนักเรียนมาจู๋จี๋กันในโรงเรียน พวกเธอฮู้บ่ มันมีกล้องทุกจุดเด้อ บอกกะบ่ฟัง กล้องชัดเด้อซูมเบิ่งทุกรูขุมขน ไผเป็นมูในเฟสครูไปบอกกันแน" ก่อนลงภาพที่ถ่ายจากกล้องวงจรปิด เป็นภาพเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งนั่งคุยกับเด็กชายที่ม้าหินอ่อนภายในโรงเรียน ซึ่งโพสต์ดังกล่าวทำให้ตนและครอบครัว รวมถึงตัวเด็กอับอายเป็นอย่างมาก จนไม่กล้ามาโรงเรียน ก่อนโทรพูดคุยปรับความเข้าใจกับรักษาการ ผอ.รร. และคุณครูที่โพสต์ และได้มีการขอโทษกัน แต่ต่อมาคุณครูคนดังกล่าวยังได้โพสต์ข้อความต่างๆที่ทำให้เห็นว่ายังไม่สำนึกผิด ตนจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และในวันจันทร์จะเดินทางไปร้องเรียนที่ สพป.ขอนแก่น 5 เพื่อเอาผิดทางวินัยกับคุณครูคนดังกล่าว
ด้านคุณครูบี อายุ 39 ปี ครูที่โพสต์ภาพ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ให้ปากคำที่ สภ.สีชมพูเช่นกันว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ฝ่ายนั้นเสียชื่อเสียง เราแค่ต้องการตักเตือน ซึ่งในขณะนั้นกำลังทำหน้าที่อยู่ในห้องพักครู เห็นพฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสม ยืนยันการโพสต์ภาพดังกล่าวไม่ได้ระบุตัวตนว่าเป็นใคร ถ่ายจากจอกล้องวงจรปิด ภายในห้องพักครูแล้วนำไปโพสต์เฟซบุ๊ก เพื่อรักษาปกป้องโรงเรียน ไม่อยากให้ใครมาว่าโรงเรียนเสียหายรวมถึงตนที่เข้าเวรได้ เนื่องจากมีกลุ่มวัยรุ่นมามั่วสุมภายในโรงเรียนบ่อยครั้ง ยืนยันไม่ได้มีเจตนาที่จะประจานเด็กหรือทำให้เด็กเสียหาย ส่วนการถูกแจ้งความดำเนินคดีก็ยอมรับและก็พร้อมปล่อยให้เป็นไปตามขบวนการทางด้านกฎหมาย
ด้าน พ.ต.อ.ไพรวัลย์ ท้าวพรม ผกก.สภ.สีชมพู จ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นเตรียมประสานสหวิชาชีพ เข้าร่วมสอบปากคำเด็ก เนื่องจากเป็นเยาวชน โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายไม่เลือกปฏิบัติถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นข้าราชการก็ตาม ส่วนความผิดในเบื้องต้น น่าจะเข้าข่าย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนรายละเอียด หรือความผิดในข่ายอื่นๆนั้นคงต้องรอสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง