กรมสุขภาพจิตเดินหน้า 4 มาตรการลดฆ่าตัวตายไม่เกิน 8 ต่อแสนประชากร หลังโควิด-19 ทำสถิติฆ่าตัวตายเพิ่มเป็น 10 ต่อแสนประชากร นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทสไทยแนะทลายกำแพง ลบอคติเป็นคนอ่อนแอ แค่คนต้องการความช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 10 ก.ย. พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวเนื่องใน “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก” ว่า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสนสนใจเรื่องปัญหาการฆ่าตัวตายมากขึ้น เนื่องจากทั่วโลกประสบวิกฤติขนาดใหญ่ คือ มีการระบาดของโรคโควิด -19 ที่มีลักษณะเฉพาะคือ 1.ขอบข่ายของผลกระทบวงกว้างมากกว่าผู้ป่วย หรือผู้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย แต่รวมถึงสังคม เศรษฐกิจ และผลกระทบวงกว้างต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 โดยวิกฤตครั้งนี้ลงไประดับครัวเรือน 2.ระยะค่อนข้างยาว เมื่อเทียบกับการเผชิญโรคอื่นๆ ที่เผชิญมา ทั้งนี้ จากข้อมูลฐานใบมรณะบัตร ฐานข้อมูลการเสียชีวิตนอกโรงพยาบาล และระบบรายงานการฆ่าตัวตาย พบว่าแนวโน้มสูงขึ้นในปี 63-64 ตั้งแต่มีการระบาดโควิด และประสบการณ์ที่ได้จากวิกฤตต้มยำกุ้ง จะพบว่าแม้อัตราผู้ป่วยโควิดลดลงเรื่อย ๆ แต่การฆ่าตัวตายหลังภาวะวิกฤตยังคงอยู่อีกระยะหนึ่ง ราว ๆ 2-3 จึงสามารถทำนายได้ว่าโอกาสการฆ่าตัวตายจะสูงขึ้น แต่หวังว่าจะยังคุมให้อยูในระดับที่เราควบคุมได้ เพราะจำนวนที่สูญเสียต่อปีเกือบ 5,000 ราย หมายถึงยังมีอีก 5,000 ราย ครอบครัวที่ยังต้องเดินหน้าต่อไป ที่เราต้องเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือ ตัวเลขเดิมเราอิงเพียงฐานข้อมูลมรณบัตร ปี 63 อยู่ที่ 7 ต่อ แสนประชากร มีการคาดการณ์ว่าหากไม่ทำอะไรจะขึ้นไปที่ 9 ต่อแสนประชากร แต่เรายังหวังว่าจะคงอัตราอยู่ที่ 8 ต่อแสนประชากร แต่ตัวเลขสัมพัทธ์ ซึ่งมีการรวมข้อมูลใหม่ จะเห็นว่าปี 63 นั้น แตะที่ 10 ต่อแสนประชากร ไม่ใช่ 7 ต่อแสนประชากร และปี 64 ก็น่าจะแตะที่ 10 ต่อแสนประชากรเหมือนกัน
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า ดังนั้นยุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ ปี 2564-2565 เพื่อลดอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จของประกรไทย ไม่ให้เกิน 8 ต่อแสนประชากร โดยมี 4 มาตรการสำคัญคือ 1.ส่งเสริมการรับรู้ออมูลด้านสวัสดิการทางสังคม และสุขภาพขั้นพื้นฐาน เสริมสร้างพลังใจในประชากรกลุ่มเสี่ยง ต่อการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ 2. พัฒนาระบบการคัดกรอง ค้นหา และเฝ้าระวังประชากรกลุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ตามระบบความรุนแรง และครอบคลุมทุกมิติ 3. การพัฒนารูปแบบกลไกการจัดการแบบบูรณาการในจังหวัด ที่มีการฆ่าตัวตายสูง ในฐานะเจ้าของร่วมกัน และ 4. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม สนับสนุนการแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตาย ขณะนี้กำลังทำงานกับเครือข่ายใหม่ๆ และเทคโนโลยีอีกหลายตัวเพื่อรับฟังสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน ตอนนี้เรามีการเฝ้าระวังทั่วประเทศ แต่เฝ้าระวังเป็นพิเศษใน 25 จังหวัด อาทิ ลำพูน กาฬสินธุ์ สงขลา นครสวรรค์ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจ ที่อิงข้อมูลจากกระทรวงแรงงาน กรณีคนตกงาน ว่างงาน ขาดรายได้ ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นงานยาก เพราะด้วยสถานการณ์โควิด ส่งให้มีปัญหาการฆ่าตัวตายมากขึ้น และกลุ่มนี้เมื่อมีปัญหาก็ไม่เข้าระบบสุขภาพ ไม่เหมือนกลุ่มที่เป็นผู้ป่วยเดิม ดังนั้นจะต้องใช้การประสานงานร่วมกันของหลายฝ่าย ใช้ทีมสุขสุขภาพจิตเคลื่อนที่เร็ว (MCATT) เข้าไปค้นหาเชิงรุก และเชื่อมต่อเข้าระบบสุขภาพ” อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว และว่า วันนี้เราพบความตึงเครียดมากขึ้น เศร้า ความอ่อนล้าทางอารมณ์ หากเหนื่อย ท้อ ให้เช็คสุขภาพใจตัวเอง ที่ mental health check-in ทั้งนี้ ย้ำว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ และทุกคน จะช่วยให้คนรอบตัวที่เริ่มอ่อนล้า คิดทำร้ายตัวเอง ยังมีใครคอยประคอง ยังอยากเจอเขาในวันพรุ่งนี้ เรายังอยากเจอกัน อยากผ่านปัญหาไปด้วยกัน
ด้าน ศ.นพ.ชวนันท์ ชาญศิลป์ นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า วันนี้ตัวเลขการฆ่าตัวตายมากขึ้น แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะทำงานอย่างหนัก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถยกให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งทำเพียงคนเดียว แต่ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะทะลายกำแพงในการแก้ปัญหา ความคิดเชิงลบต่อการฆ่าตัวตายว่ามีความอ่อนแอ มีปัญหาสุขภาพจิต มุมมองนี้ทำให้คนไม่กล้าเข้าหาความช่วยเหลือ ดังนั้นเพื่อให้ได้ผล ต้องลดมุมมองตรงนี้ เพราะจริงๆ แล้วเปอร์เซ็นต์ส่วนมากของคนฆ่าตัวตายก็ไม่ได้ป่วย ปัญหาการฆ่าตัวตายเหมือนคนเป็นไข้ ไม่ได้บอกว่าเป็นโรค แต่มีบางอย่างต้องได้รับการช่วยเหลือ สำหรับคนที่ตอนนี้มีปัญหาวิกฤติอย่าคิดว่าตัวเองผิดปกติ แต่เป็นช่วงที่ท่านกำลังต้องการความช่วยเหลือ