รปช.แถลงยกเหตุผล 3 ข้อไม่รับร่าง รธน.วาระ 3

2021-09-08 22:22:44

 รปช.แถลงยกเหตุผล 3 ข้อไม่รับร่าง รธน.วาระ 3

Advertisement

รปช.แถลงยกเหตุผล 3 ข้อไม่รับร่างแก้ไข รธน.วาระ 3 

เมื่อวันที่ 8 ก.ย. นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ ส.ส.บัญชีรายขื่อ โฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)แถลงว่า  ส.ส.รปช.ทุกคนพร้อมที่จะลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ .......) พ.ศ............ ที่จะมีการพิจารณาวาระ 3 ในการประชุมร่วมรัฐสภา ในวันที่ 10 ก.ย.  ทั้งนี้เพราะ

ข้อ 1. การเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบ ขัดแย้งโดยตรงต่อหลัก “หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียง” (One Man, One Vote) ที่ประชาชนผู้ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียวเพื่อเลือก ส.ส. จากเขตเลือกตั้งของตน และบัตรเดียวกันนั้น ก็ถือเป็นคะแนนของพรรคที่ส่งผู้สมัครคนนั้นลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย โดยคะแนนของพรรคดังกล่าวก็จะได้รับการรวมคำนวณเพื่อสิทธิในการมีจำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อภายใต้เกณฑ์การคำนวณสัดส่วน ส.ส. ที่พึงมีของพรรคนั้นๆระบบการเลือกตั้งโดยใช้บัตรใบเดียวนี้มีความชอบธรรมที่ผู้เลือกตั้งจะได้พิจารณาตัวบุคคล อุดมการณ์และนโยบายของพรรคไปพร้อมกัน ทำให้เกิดเอกภาพความเป็นหนึ่งเดียวของการเป็นพรรคการเมือง และระบบการเลือกตั้งเช่นนี้เป็นการเคารพทุกคะแนนเสียงของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง จะไม่เกิดสภาพ “คะแนนหล่นน้ำ สูญเปล่า” แม้ผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตจะไม่ชนะเป็นที่ 1 ในเขตนั้น เพราะคะแนนเสียงดังกล่าวยังได้รับการคำนวณนับเพื่อการมี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อดังที่กล่าวแล้ว

ข้อ 2. ในอดีตภายใต้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 ได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ว่า การเลือกตั้งโดยใช้บัตร 2 ใบ (ดังที่ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในขณะนี้มุ่งประสงค์จะนำกลับมาใช้อีก) ได้ทำให้พรรคการเมืองใหญ่ที่มีความได้เปรียบในด้านทุนรอนที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง (รวมทั้งการซื้อสิทธิซื้อเสียงที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่อาจจับได้ไล่ทัน) สามารถใช้พลังอำนาจทุนที่เหนือกว่าพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็ก ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตจำนวนมากแล้ว ยังพลอยได้จำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นสภาพการณ์ที่ทำให้พรรคใหญ่ได้ ส.ส. เกินกว่าที่ควรได้ คือได้ทั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นการขัดต่อหลัก “หนึ่งสิทธิ หนึ่งเสียง” ซึ่งหมายถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนหนึ่งควรใช้สิทธิเลือกผู้ที่จะเข้าไปเป็นปากเสียงแทนตนในสภาได้ 1 คน แต่การใช้บัตร 2 ใบ ทำให้ใช้สิทธิได้ 2 สิทธิ 2 เสียง คือเลือกตั้ง ส.ส. เขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ ซึ่งข้อที่เสียหายก็คือ หาก 2 เสียงที่เลือกไปนั้นมิใช่เป็นพรรคการเมืองเดียวกัน นโยบายพรรคแตกต่างกัน ย่อมเกิดความไม่สอดคล้องในการปฏิบัติตามนโยบายของพรรคที่ผู้เลือกตั้งต้องการ เพราะจะไม่มีตัวบุคคลผู้ที่จะนำไปปฏิบัติจึงไม่อาจแยกแยะได้ว่าใครจะเป็นตัวแทนตามเจตจำนงที่แท้จริงของผู้เลือกตั้ง และการที่พรรคใหญ่ได้จำนวน ส.ส. ที่มากเกินส่วนที่พึงมีเช่นนี้จึงได้เกิด “เผด็จการรัฐสภา” ขึ้น ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนที่สุดภายหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 (สมัยรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ที่รัฐบาลและฝ่ายเสียงข้างมากในสภาฯ ได้ใช้พลังอำนาจแห่งเสียงข้างมากดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกระชับ/เพิ่มพูน อำนาจของฝ่ายตน ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มาของสมาชิกวุฒิสภา การเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายบริหารทำสัญญากับรัฐต่างประเทศโดยไม่ต้องให้รัฐสภาตรวจสอบ และที่ร้ายกาจที่สุดคือ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมอันขัดต่อหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม เพื่อช่วยให้คนของฝ่ายตนที่ถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย รวมทั้งพวกพ้องคนที่สนับสนุนฝ่ายตนให้ไม่ต้องมีความผิดทั้งสิ้น โดยมีพฤฒิการณ์เป็นการใช้เสียงข้างมากปิดกั้นโอกาสฝ่ายเสียงข้างน้อยในการทำหน้าที่โดยชอบธรรมในสภาฯ และไม่แยแสต่อเสียงคัดค้านของประชาชนนอกสภาฯ จนได้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ขึ้นที่ประชาชนนับล้านๆ คนทั่วประเทศได้พร้อมใจกันต่อต้านจนถึงขับไล่รัฐบาลในที่สุด ประสบการณ์ของประเทศไทยในระบบการเลือกตั้งที่ใช้บัตร 2 ใบ ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่มีการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และฉบับต่อมา พ.ศ. 2550 ที่ได้เกิดผลร้ายให้เห็นมายาวนานเกินกว่าสองทศวรรษแล้ว บัดนี้หากจะย้อนกลับไปใช้ระบบดังกล่าวอีก ย่อมจะเป็นการ “ถอยหลังลงคลอง” ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่พัฒนาให้เป็นความก้าวหน้าขึ้นแต่ประการใดเลย

ข้อ 3. การเลือกตั้งที่ใช้บัตร 2 ใบ สำหรับบัตรที่เลือก ส.ส. เขต เมื่อมีผู้สมัครที่ได้คะแนนเป็นที่ 1 ไปแล้ว คะแนนเสียงที่ลงให้แก่ผู้สมัครรายอื่นๆ (ในหลายกรณีมีคะแนนจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ) ย่อมถูกตัดโอกาส ไม่สามารถมีตัวแทนเป็นปากเสียงในสภาได้เลย ในขณะที่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวเป็นการที่ผู้เลือกตั้งแสดงเจตนารมณ์เป็นหนึ่งเดียวระหว่างตัวบุคคลผู้สมัคร ส.ส. เขต และพรรคที่บุคคลนั้นสังกัดอยู่ คะแนนเสียงทุกคะแนนที่ลงให้แก่ผู้สมัครในเขตเลือกตั้งทุกเขตทั่วประเทศ นำไปรวมคำนวณทำให้ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อตามจำนวนที่พึงมี (ส่วนในบางกรณีที่เกิดปัญหายุ่งยากของการคำนวณ ในทางปฏิบัติย่อมสามารถจะพัฒนาระบบวิธีการคำนวณอันเป็นรายละเอียดที่ควรนำไปว่ากล่าวในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยไม่จำต้องแก้ไขหลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด)

นายเขตรัฐ  กล่าวต่อว่า จากสาระสำคัญที่ได้กล่าวมาข้างต้น พรรครวมพลังประชาชาติไทยเห็นว่าการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ในครั้งนี้ มิได้เกิดสาระเป็นประโยชน์แก่ประชาชนแต่อย่างใด แต่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แก่นักการเมืองและพรรคการเมืองใหญ่ๆโดยแท้ดังนั้น คณะกรรมการบริหารและ ส.ส. พรรครวมพลังประชาชาติไทยทุกคน จึงขอเรียนย้ำจุดยืนที่คัดค้านและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ...) พ.ศ.ในวาระที่ 3