ผบช.น.สรุปม็อบทำลายป้อม 12 แห่ง เผารถ 8 คัน ตร.เจ็บ 11 นายจากสะเก็ดพลุ ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง รวบผู้ต้องหาแล้ว 17 คน
เมื่อวันที่ 12 ส.ค. พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงศ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าวสรุปสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ ทางการเมืองที่ผ่านมา ว่า จากการเผชิญหน้าของตำรวจและกลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้มีตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในกองร้อยควบคุมฝูงชนได้รับบาดเจ็บ 11 นาย โดยได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดของพลุ ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง ลูกแก้ว ลูกหิน นอกจากนี้รถยนต์ของทางราชการถูกเผาทำลายทั้งหมด 8 คัน ป้อมจราจรถูกเผาและทุบทำลายทั้งหมด 12 แห่ง
ผบช.น. กล่าวว่า เหตุการณ์เผาและทุบทำลายสถานที่ราชการ รวมถึงยานพาหนะ เป็นเรื่องที่ไม่สมควร การกระทำดังกล่าวจะทำให้สูญเสียงบประมาณไปโดยใช่เหตุ ส่วนเหตุการณ์การชุมนุมเมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 17 คนเป็นชาย 15 คนหญิง 2 คน โดยทั้งหมดถูกดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และข้อหาเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการชุมนุมแล้วไม่เลิก
ส่วนกรณีเหตุการณ์เผาทำลายรถควบคุมผู้ต้องขัง บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ศาลอาญาได้ออกหมายจับผู้ต้องหา 2 คนประกอบด้วยนาย อาทิตย์ สากลวารี อายุ 20 ปี และนายน้ำเชี่ยว เนียมจันทร์ อายุ 20 ปี โดยนายอาทิตย์ให้การภาคเสธ อ้างว่ามีการขว้างระเบิดปิงปองใส่รถควบคุมผู้ต้องหาจริง แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดเพลิงไหม้ ส่วนนายน้ำเชี่ยวรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติของนายน้ำเชี่ยว พบว่าเคยก่อคดีทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี ซึ่งทั้งสองคนถูกดำเนินคดึในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ และร่วมกันมั่งสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปจนเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บควบคุมโรค นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังเข้าตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา พบระเบิดไทยประดิษฐ์ พลุเพลิง และเสื้อผ้าของผู้ต้องหาที่ใช้ในวันก่อเหตุ
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ ฝากไปยังผู้ที่เผยแพร่ข้อความภาพคลิปววดีโอที่ผู้ชุมนุมคนหนึ่งถูกประทัดยักษ์ระเบิดใส่มือขณะที่กำลังจะปาใส่เจ้าหน้าที่ จนทำให้นิ้วมือขาด ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว เจ้าหน้าที่ตำรวจขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บ รับวัตถุระเบิดมาจากชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ชุมนุมด้วยกัน ไม่ได้เป็นตำรวจตามที่มีการกล่าวอ้างกันในโลกโซเชียล และขอให้ผู้ที่เผยแพร่ภาพ หยุดการเผยแพร่ภาพดังกล่าว เนื่องจากเป็นลักษณะเฟกนิวส์ และมีโทษตามกฎหมาย
พ.ต.อ.กฤษณะ ยืนยันว่าการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นการทำงานบนพื้นฐานของข้อกฎหมาย ใช้อำนาจตามความจำเป็น ซึ่งตำรวจมีการเรียนรู้ถอดบทเรียน และมีการดำเนินการปรับแผน ระมัดระวังในการบังคับใช้กฎหมายอยู่แล้ว