"วิโรจน์"ฉะ "อนุทิน"ปมเตรียมออก พ.ร.ก.นิรโทษบริหารโควิดผิดพลาดแบบเหมาเข่ง ชี้ระดับนโยบายไม่ควรได้รับการปกป้องจากฎหมายพิเศษแบบนี้
เมื่อวันที่ 10 ส.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงกรณีรัฐบาลเตรียมออก พ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 จนเป็นที่วิจารณ์ว่า เสมือนเป็นการนิรโทษกรรมเหมาเข่งที่เหมารวมไปถึงผู้จัดหาบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาดด้วย โดยระบุว่า ท่ามกลางสถานการณ์ในช่วงเดือน ก.ค.ถึงปัจจุบัน พบผู้ติดเชื้อมากขึ้นเฉลี่ยเกือบ 2 หมื่นรายต่อวัน แต่ที่น่าตกใจคือ ในวันนี้มีผู้เสียชีวิตทะลุ 200 ราย สภาพเช่นนี้จึงเสมือนมีเครื่องบินตกในประเทศทุกวันเเละเสียชีวิตทั้งลำ สิ่งที่ประชาชนคาดหวังในสถานการณ์เช่นนี้คือ การออกมารับผิดชอบของรัฐบาลว่าจะชดเชยเยียวยาพวกเขาอย่างไร ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากความหละหลวมหรือจงใจให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก็ตาม พรรคก้าวไกลยืนยันว่า บุคลากรทางการเเพทย์และสาธารณสุขที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ศบค. คำสั่งของรัฐบาล หรือคำสั่งของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ที่มีมาตรการต่างๆออกมา หรือการต้องปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการ อนุกรรมการ หรือคณะทำงานใดๆที่ตั้งขึ้นโดยรัฐบาลจะต้องได้รับการปกป้องให้ไม่ต้องรับผิด เพราะเป็นการทำตามคำสั่งเท่านั้น
“แต่ในระดับนโยบาย คณะบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการวัคซีนที่สังคมตั้งข้อสงสัย เช่น ใครหรือคณะกรรมการชุดใดที่ให้ความเห็นที่ให้ประเทศไทยไม่ร่วมโครงการ COVAX คนกลุ่มนั้นไม่ควรลอยนวล ไม่ควรต้องได้รับการปกป้องจากฎหมายพิเศษแบบนี้ และใครในคณะกรรมการชุดใดที่ให้ความเห็นในข้อที่ 10 ว่า บุคลากรทางการเเพทย์ไม่ควรได้รับการกระตุ้นภูมิเป็นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีนไฟเซอร์ เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซิโนเเวคไม่มีประสิทธิภาพ เเละจะทำให้แก้ตัวยากมากขึ้น การตัดสินใจด้วยเหตุผลเหล่านี้เป็นสิ่งที่บุคคลากรทางการเเพทย์ทั้งแผ่นดินยังคงรอคอยคำตอบว่า ใครเป็นผู้ให้ความเห็นนี้ เป็นอาจารย์แพทย์หรือบุคคลใดที่กระทำความบั่นทอนต่อความรู้สึกประชาชนและบุคลากรทางการเเพทย์ แต่สิ่งที่ได้เห็นจากการชี้เเจงทั้งหมดของ นายอนุทิน คือ การเอาบุคคลากรทางการเเพทย์ด่านหน้า มาเป็นข้ออ้างเหมาเข่งนิรโทษกรรมให้รัฐบาลทั้งสิ้น บุคคลในระดับนโยบายควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อย่ากลัว ถ้าไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด อย่ากลัวหากการบริหารจัดการต่างๆดำเนินการอย่างสอดคล้องกับหลักวิชาการทางการเเพทย์และมีการนำงานวิจัยหรือผลการศึกษามาประกอบการตัดสินใจ เเต่หากคณะกรรมการหรือคณะที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์แพทย์หรือใครก็ตาม ไม่ดำเนินการอย่างสอดคล้องกับหลักวิชาการ ไม่เอารายงานการศึกษาวิจัยทางการเเพทย์นานาชาติมาประกอบกับการตัดสินใจอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เเต่เป็นการตัดสินใจด้วยความต้องการส่วนตัว ก็คงต้องสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งศาลจะเป็นผู้ตัดสินเอง หากผิดสมควรต้องได้รับผิดตามกระบวนการยุติธรรมทั้งทางแพ่งอาญา เเละหากเป็นความผิดทางสังคมก็ต้องยอมรับให้สังคมประณาม”นายวิโรจน์ กล่าว