โรคตับแข็ง ไม่ใช่แค่ดื่มสุรา

2021-08-05 17:23:57

โรคตับแข็ง ไม่ใช่แค่ดื่มสุรา

Advertisement

โรคตับแข็ง ไม่ใช่แค่ดื่มสุรา

โรคตับแข็งคืออะไร ?

โรคตับแข็งเป็นภาวะของโรคตับเรื้อรังขั้นสุดท้าย ที่เกิดจากมีการอักเสบเรื้อรังของตับทำให้มีการสูญเสียเซลล์เนื้อตับรวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตับไปทำให้เกิดพังผืดในตับปริมาณมาก จนตับไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและมีภาวะแทรกซ้อนตามมาสาเหตุของโรคตับแข็งมาจากไหน?

โรคตับแข็งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่

-ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง เช่นไวรัสตับอักเสบบีและซี 

-การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและเป็นเวลานาน

-โรคทางพันธุกรรม เช่น Wilson disease (ความผิดปกติของตับที่ไม่สามารถขับทองแดงออกจากร่างกายได้ทำให้มีการสะสมทองแดงมากเกินไป), Hemochromatosis (ภาวะธาตุเหล็กในร่างกายเกินซึ่งอาจจะเป็นจากโรคทางพันธุกรรมทำให้ไม่สามารถขับธาตุเหล็กออกจากร่างกายได้หรือเป็นจากการได้รับธาตุเหล็กเกินโดยเฉพาะในคนไทยที่มีโรคเลือดจางธาลัสซีเมียรุนแรงจนต้องได้รับผลิตภัณฑ์เลือดอยู่บ่อย ๆ), cystic fibrosis, alpha one antitrypsin deficiency, glycogen storage disease

-ภาวะไขมันคั่งตับ มักพบในคนอ้วน หรือคนไข้เบาหวาน

-โรคแพ้ภูมิตนเองที่เกิดกับตับ เช่น autoimmune hepatitis, primary biliary cholangitis, primary sclerosing cholangitis

-โรคท่อทางเดินน้ำดีฝ่อตั้งแต่แรกเกิด (Biliary atresia)

-การได้รับยาบางชนิดหรือสมุนไพรบางอย่างที่มีผลต่อตับ

-การมีภาวะหัวใจด้านขวาล้มเหลวเรื้อรัง

-มีการอุดกั้นของหลอดเลือดดำทางออกของตับ

ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบในถึง 1 ใน 4 

อาการของโรคตับแข็งเป็นอย่างไรบ้าง ?

โดยส่วนมากในช่วงแรกของการเกิดโรคแทบไม่พบอาการหรือมีแสดงอาการน้อยมากโดยอาการแสดงก็ไม่จำเพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาการ นอนไม่หลับ คันตามตัว  ต่อเมื่อการทำงานของตับแย่ลงก็จะมาด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น ตัวตาเหลืองหรือดีซ่าน ท้องมาน เท้าหรือตัวบวม อาเจียนเป็นเลือด หรือน้ำหนักลดจาการมีมะเร็งตับพฤติกรรมแบบไหนที่สุ่มเสี่ยงหรือมีแนวโน้มเป็นโรคตับแข็งได้บ้าง ?

พฤติกรรมที่จะเสี่ยงต่อการเกิดตับแข็งก็ต้องดูตามสาเหตุ บางสาเหตุหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ เช่น 

-กลุ่มไวรัสตับอักเสบบีและซี ก็ต้องระวังเรื่องการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ โดยไม่มีการป้องกันโรคที่เหมาะสม การใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นโดยใช้เข็มร่วมกัน การสักการเจาะโดยที่อุปกรณ์ไม่สะอาด หรือหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคตับแข็งจากไวรัสตับอักเสบบีก็ต้องไปตรวจเพราะสาเหตุหลักของไวรัสตับอักเสบบีคือการติดต่อจากแม่สู่ลูก

-การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

-ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน

-การใช้ยา อาหารเสริม หรือเสริมอาหาร หรือยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐานโดยไม่มีข้อบ่งชี้

วิธีการรักษาโรคตับแข็ง รักษาอย่างไร ? มีโอกาสหายเป็นโรคได้หรือไม่ ? 

สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้การวินิจฉัยที่ถูกต้อง จากนั้นการดูแลผู้ป่วยตับแข็งที่ควรทำ ได้แก่

-การหาสาเหตุของตับแข็ง เพื่อให้การรักษาให้ตรงตามสาเหตุ เช่น การให้ยาต้านไวรัสตับอักเสบบีหรือซี การหยุดดื่มแอลกอฮอล์ การให้ยากดภูมิคุ้มกัน การให้ยาขับธาตุเหล็กหรือทองแดง เป็นต้น

-ประเมินระยะของโรคตับแข็ง เพื่อดูว่ามีภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง เช่น อาจจะต้องส่องกล้องเพื่อดูหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร การทำอัลตราซาวด์เพื่อดูน้ำในช่องท้อง เป็นต้น

-พิจารณาให้วัคซีนที่จำเป็น โดยเฉพาะวัคซีนสำหรับป้องกันไวรัสตับเสบเอ และบีหากยังไม่มีภูมิคุ้มกัน

-การคัดกรองมะเร็งตับโดยการเจาะเลือดและการทำอัลตราซาวด์ทุก 6-12 เดือน

-การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับระยะของโรคตับแข็ง โดยทั่วไปหากยังเป็นไม่มากสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติ แต่หากเป็นมากแล้วควรงดการออกกำลังกายประเภทที่ต้องเบ่งแรงๆ หรือเร็วๆ เพราะอาจเพิ่มความดันในช่องท้องจนทำให้เส้นเลือดขอดแตกได้

-การดูแลภาวะโภชนาการให้เหมาะสม ที่แนะนำคือ ให้แบ่งมื้อรับประทานเป็นหลายๆ มื้อหากกินได้ครั้งละไม่มากจากการมีท้องมาน ลดปริมาณเกลือต่อวัน เพิ่มโปรตีนโดยใช้โปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ยกเว้นมีภาวะซึมจาก ammonia คั่งอาจพิจารณาให้เป็นโปรตีนจากพืชหรือโปรตีนเสริมสำเร็จรูปสำหรับคนไข้โรคตับแข็งได้

-ระวังการใช้ยาที่ผ่านการทำลายยาที่ตับ เช่น พาราเซตามอล

ในอดีตโรคตับแข็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ยกเว้นการปลูกถ่ายตับกรณีที่โรคเป็นมากแล้ว แต่ปัจจุบันพบว่าการเอาสาเหตุที่กระตุ้นให้ตับเสียหายออกไปได้ก็สามารถทำให้การทำงานของตับดีขึ้นได้ เช่น การใช้ยาต้านไวรัสบีหรือซี การหยุดดื่มแอลกอฮอล์ การให้ยาขับเหล็กหรือทองแดง เป็นต้น

อ.พญ.ศุภมาส เชิญอักษร สาขาวิชาโรคทางเดินอาหารและตับ

ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล