ศาลสั่งจำคุก กก.-ผจก. "มายาผับ หัวหิน" คนละ 3 เดือนไม่รอลงอาญา

2021-07-31 14:36:45

ศาลสั่งจำคุก  กก.-ผจก. "มายาผับ หัวหิน" คนละ 3 เดือนไม่รอลงอาญา

Advertisement

ศาลสั่งจำคุก  กก.-ผจก. "มายาผับ หัวหิน"  คนละ 3 เดือนไม่รอลงอาญา ฐานจัดคอนเสิร์ตแพร่เชื้อโควิด-19 อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ วางเงินสดคนละ 3 หมื่น

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. พ.ต.อ.ไพทูล พรมเขียน ผกก.สภ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับสถานบันเทิง “มายาผับ” (ไฮไฟร์) หัวหิน คลัสเตอร์โควิดใหญ่นับร้อยคนจากคอนเสิร์ต “โจอี้ บอย” เมื่อคืนวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้จัดการร้าน พนักงานร้านและผู้ใช้บริการหลังรักษาตัวหายจากโรคโควิดแล้วกว่า 40 คนจนครบ ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาฐานฝ่าฝืนพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 จ.ประจวบคีรีขันธ์รวม 2 บุคคล กับ 1 นิติบุคล คือ บริษัทมายามิวสิคเอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด นายชาลี ศรีทองกูล อายุ 48 ปี กรรมการบริษัทมายามิวสิคเอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด และ นายคมกริช พิลาคง อายุ 43 ปี ผู้จัดการดูแลร้านมายาผับ ซึ่งได้ดำเนินการส่งฟ้องศาลจังหวัดหัวหินไปแล้วเมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สำหรับประเด็นเรื่องสถานบริการเปิดเกินเวลาตามกฎหมายกำหนดในวันจัดคอนเสิร์ตและไม่มีใบอนุญาตนั้น ได้สอบปากคำผู้ใช้บริการทั้งหมดแล้วแจ้งว่าได้ปิดตามเวลาที่กำหนดแต่ยังมีการนั่งคุยกันต่อ ส่วนใบอนุญาตโดยใช้ชื่อเดิมคือไฮโฟร์นั้นอยู่ระหว่างการต่อใบอนุญาต ขณะที่สถานบันเทิงรายอื่นตามไทม์ไลน์ยังมีไม่มีฝ่ายปกครองหรือทางสาธารณสุขเข้าแจ้งความแต่อย่างใด


ต่อมาวันที่ 30 ก.ค. ศาลจังหวัดหัวหินได้มีคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 619/2564 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ 602/2564 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดหัวหิน โจทก์ บริษัทมายามิวสิคเอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด จำเลยที่ 1 กับ นายชาลี ศรีทองกูล จำเลยที่ 2 และ นายคมกริช พิลาคง จำเลยที่ 3 ในข้อหาร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดแห่งพะราชกำหนดบริหารราชกานสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฝ่าฝืนคำสั่งของ ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์โดยไม่ได้รับยกเว้นหรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

โจกก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าระหว่างวันที่ 30 มี.ค. 64 เวลา 23.00 น. – 01.00 น.วันที่ 31 มี.ค.64 ซึ่งอยู่ในวันและเวลาตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามกฎหมาย เปิดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นเพื่อการบันเทิง จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจดำเนินการแทน และจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัว และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้มีหน้าที่จัดการควบคุมดูแลสถานบริการร่วมกันจัดหานักดนตรีนักแสดงและจัดให้มีการแสดงดนตรีคอนเสิร์ตของนักร้องนักแสดงชื่อโจอี้ บอย มาแสดงคอนเสิร์ตและดนตรีที่มายาผับหรือมายาเอ็กซ์คลูซีฟผับไฮโฟร์ (Maya exclusive pub Hi 4) ดังกล่าว โดยร่วมกันจัดขายโต๊ะสำหรับประชาชนผู้เข้าชมคอนเสิร์ตจำนวน 106 ตัว ซึ่งมีผู้ใช้บริการโต๊ะละ 5 คน ในราคาที่ใกล้เวทีโต๊ะละ 5,000 บาท และโต๊ะที่ห่างเวทีโต๊ะละ 3,500 บาท โดยจำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันยินยอมหรืออนุญาตให้กลุ่มลูกค้าซึ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือโรคติดต่ออันตรายและประชาชนทั่วไปที่จองซื้อบัตรเข้าไปใช้บริการภายในสถานบริการดังกล่าวเพื่อดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และชมการแสดงดนตรีในสภาพแออัดอย่างมากจำนวนประมาณ 500 คน ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้บริการเกินกว่าปริมาณโต๊ะขออนุญาตไว้ในลักษณะที่ให้ผู้ใช้บริการยืนใกล้ชิดเบียดเสียดลำตัวติดหรือใกล้ชิดกัน โดยไม่มีการจัดหรือควบคุมให้เว้นระยะห่างของบุคคลในระยะไม่น้อยกว่า 1 เมตร และไม่ดำเนินการใช้มาตรการจัดการควบคุมให้ผู้เข้าไปใช้บริการทำการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าอย่างทั่วถึง ไม่คำนึงถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นเหตุให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการซื้อเครื่องดื่มและชมการแสดงดนตรีคอนเสิร์ตภายในสถานบริการดังกล่าวติดเชื้อโควิด-19 เป็นจำนวนมาก และเป็นเหตุให้มีการแพร่เชื้อโรคติดต่อดังกล่าวแก่ประชาชนทั่วไป เป็นอันตรายต่อสุขภาพชีวิตและมีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และทำให้ประชาชนที่ติดเชื้อโรคดังกล่าวเป็นพาหะแพร่กระจายโรคโควิดติดต่อกันไปเป็นจำนวนมาก และรัฐต้องชดใช้เยียวยาค่าเสียหายในการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อ อันเป็นความเสียหายแก่รัฐเป็นจำนวนมากถึงขนาดประเมินค่าไม่ได้ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

ศาลพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 5,7,9,18,19 คำสั่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ 2009/2564 พระราชบัญญัติโรคติดต่อพ.ศ.2558 ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 40,000 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำเลยที่ 1 ปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 จำคุกคนละ 3 เดือน เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมโดยส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง โทษจำคุกไม่รอการลงโทษ กรณีจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 ทั้งนี้ ภายหลังจากศาลตัดสินจำเลยที่ 1 ชำระค่าปรับ ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ โดยวางเงินสดคนละ 30,000 บาท