"พิธา" ทวงสัญญาวัคซีนฉบับเต็ม "แอสตร้าเซนเนก้า" แทนสัญญาตาบอด เซ็นเซอร์เต็มไปหมด
เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้ทวงถามสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และสัญญาการจองวัคซีนล่วงหน้าฉบับเต็มโดยไม่มีการปกปิดข้อมูล เนื่องจากในฐานะผู้แทนราษฎรจำเป็นต้องได้ข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อสามารถตรวสอบข้อมูลแทนประชาชนชาวไทย และช่วยกันเสนอทางออกให้กับประเทศ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประชาชน รวมทั้งจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพาประเทศไทยออกจากมหาวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วย
"ประเด็นที่ผมจะสอบถามเกี่ยวข้องกับสัญญาวัคซีนกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และต่อเนื่องจากการแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงปัญหาการกลายพันธุ์และการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์นี้ที่มีการระบาดถึง 50 % ในพื้นที่ กทม. รวมทั้งการปรับแผนการใช้วัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าด้วย วันนี้ผมได้นำสัญญาวัคซีนที่ท่านได้ส่งให้กับ ส.ส. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล ซึ่งเมื่อเปิดดูก็พบว่าสัญญาที่ได้รับเป็นสัญญาตาบอดเพราะมีการเซนเซอร์และถมดำเต็มไปหมด รวมทั้งในสัญญาฉบับนี้ผมทราบว่าเป็นสัญญาที่มีการสั่งซื้อจำนวน 26 ล้านโดสเพราะในส่วนอื่นๆ ท่านถมดำไม่ให้เห็นข้อมูลจนเป็นสัญญาตาบอด แต่มีหนึ่งจุดที่ท่านไม่ได้ถมดำเอาไว้ ทำให้ทราบว่าเป็นสัญญาซื้อวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวต่อว่า วัคซีนที่ไทยสั่งซื้อในกรณีซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้านั้น มีจำนวนทั้งหมด 61 ล้านโดส ดังนั้นนอกจากสัญญาซื้อวัคซีน 26 ล้านโดสที่ได้รับมาแล้วแต่เป็นสัญญาตาบอดนั้น จึงจำเป็นต้องขอให้ส่งมาใหม่ และขอให้ส่งสัญญาที่สั่งซื้อวัคซีนอีกจำนวน 35 ล้านโดสมาด้วย แบบไม่มีการถมดำ เพื่อเอาไปใช้สำหรับวางแผนต่อ หรือทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสนในข่าวนั้น ข้อมูลเหล่านั้นถูกขีดฆ่าโดยการถมดำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาส่งมอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน ไม่ว่าจะเป็นภาษี ทำให้ผมไม่สามารถทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบได้ ในทางตรงกันข้าม ผมถือสัญญาอีกหนึ่งฉบับที่เป็นสัญญาระหว่างสหภาพยุโรปและแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งถูกเผยแพร่โดยสื่อมวลชนอิตาลีและสื่อมวลชนจากสหรัฐอเมริกา ในสัญญาอันนี้ได้บอกชัดเจนว่ามีข้อมูลอะไรบ้าง โดยมีข้อมูล เช่น เรื่องจำนวนที่ระบุไว้ว่ามีจำนวน 300 ล้านโดส ด้วยงบประมาณ 870 ล้านยูโร คิดเฉลี่ยต่อโดสเป็นจำนวนเงิน 2.9 ยูโรต่อโดสหรือคิดเป็นเงินไทยคือโดสละ 112 บาท ข้อมูลบอกทั้งหมดว่าจะชดใช้คืนเงินอุดหนุนที่สหภาพยุโรปจ่ายไป คืนมาในรูปแบบของวัคซีน โดยจำเป็นต้องจ่ายคืน 2 ใน 3 ภายใน 5 วันของการผลิต มีเรื่องของการคิดต้นทุน วิธีการคิดภาษี วิธีการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งหมดนี้คือความโปร่งใสที่เกิดขึ้น แล้วทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความอุ่นใจ แล้วก็จะทำให้คนหลายๆ คนมาช่วยคิดกันได้
นายพิธา กล่าวต่อว่า ตกลงเงินภาษีของพี่น้องประชาชนที่เอาไปใช้ ทั้งในงบประมาณแล้วก็ พ.ร.ก. เงินกู้ ที่ใช้ไปเกือบ 600 ล้านบาท ส่งให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีสัญญาอะไรบ้าง ซึ่งเป็นความโปร่งใสที่ยังไม่มี ถ้าเปิดสัญญาทั้งหมดออกมาจะช่วยทำให้เกิดความโปร่งใส จะได้รู้ว่าจะส่งมอบวัคซีนได้เมื่อไหร่ และจะได้รู้ข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ ในการมาวางแผนทำงานต่อได้ โดยหากเปิดสัญญาออกมาทั้งหมดเหมือนที่กรณีสหภาพยุโรป แต่ในกรณีนี้สื่อมวลชนเป็นคนเปิดออกมา หรืออย่างในกรณีของประเทศบราซิล
“เป็นที่น่าสงสัยว่าเมื่อต้นปี มีความพยายามอยากจะไปให้ถึงการเป็นศูนย์กลางวัคซีนของประเทศแถบอาเซียนในการผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า แต่พอมาถึงวันนี้ประเทศไทยต้องรับการบริจาคจากประเทศญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส เลยทำให้เกิดข้อกังขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และจากสัญญาที่เปิดเผยออกมาในกรณีของสหภาพยุโรปและของประเทศบราซิล เขาระบุว่าข้อมูลที่เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ และเอกสารที่ท่านส่งมาให้กับ ส.ส. วิโรจน์นั้น ระบุไว้ว่า แอสตร้าเซนเนก้าขอสงวนสิทธิ์เพื่อรักษาความลับในเชิงธุรกิจ และในสัญญาก็พูดชัดว่าสัญญาในเชิงธุรกิจมีอะไรบ้าง ซึ่งก็คือสูตรการผลิตวัคซีน ไม่ได้เป็นเรื่องของราคา ไม่ได้เป็นเรื่องของจำนวน รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสนใจของสาธารณะอันนั้นเปิดเผยไม่ได้ แต่หากเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ เขาก็ไม่ขัดข้อง ที่จะสามารถให้เปิดเผยได้ ” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวด้วยว่า ตราบเท่าที่ไม่มีเปิดเผยราคาในสัญญา หากนำงบประมาณจัดซื้อวัคซีนหารด้วยจำนวนโดสแล้วก็จะเห็นว่า มีส่วนต่างราคาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าของไทยกับราคาวัคซีนของสหภาพยุโรป ส่วนต่างราคาตรงนี้ อาจเป็นอัตราของค่าเงินก็ได้ อาจมาจากภาษีก็ได้ อาจจะเป็นต้นทุนบางอย่างในการนำเข้ามาก็ได้ ซึ่งตนไม่ได้ต้องการคิดในเชิงลบว่าส่วนต่างนั้น มีการหาผลประโยชน์จากซากศพของประชาชนหรือไม่ โดยถ้าเห็นข้อมูลทั้งหมดคงจะชัดเจนว่าราคาที่แตกต่างกันเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่