"อนุทิน" เยี่ยม รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ เผย 49 บุคลากร สธ.ติดโควิด-19 ส่วนใหญ่หายดีแล้ว
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย ผนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงาน และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่
นายอนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์ว่า จุดประสงค์ที่เดินทางมาในวันนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าเรื่องการรักษาพยาบาลบุคลากรด้านสาธารณสุขทั้ง 49 คน ซึ่งติดเชื้อโควิด- 19 จากการให้บริการประชาชน โดยบุคลากรเหล่านี้ ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว จะมีเพียงส่วนน้อยมากที่ยังไม่ได้รับการฉีด ทั้งนี้ ส่วนใหญ่หายดีแล้ว และจากข้อมูลที่ได้รับ วัคซีนที่ใช้สามารถป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้จริง สอดคล้องกับผลการศึกษาที่ภูเก็ต ซึ่งพบว่าวัคซีนที่รัฐหามานั้นมีประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องการฉีดเข็ม 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาวิจัยโดยคณะกรรมการวิชาการ
สำหรับสถานการณ์ใน จ. เชียงราย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการแพร่ระบาดในรอบเดือน เม.ย. มีผู้ติดเชื้อสะสม 1,024 คน ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อในครอบครัว ชุมชน สำนักงานและขณะนี้พบการติดเชื้อเป็นแบบคลัสเตอร์อยู่ 4 กลุ่ม ได้แก่ อ.เทิง อ.แม่สาย อซเวียงป่าเป้า และ อ.เมืองเชียงราย ซึ่งคลัสเตอร์เมืองเชียงรายนั้น เป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์จาก รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยเหลือคนไข้ นักรังสีการแพทย์ พนักงานเปล ที่ติดเชื้อจากการรักษาและให้บริการผู้ป่วย จำนวน 49 คน และมีการติดตามผู้สัมผัสเป็น ผู้ป่วยและญาติอีก 100 คน รวมเป็น 149 คน
โดยกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ และมีอาการเล็กน้อย ทางโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์จึงได้ ทำการศึกษาอัตราการติดเชื้อ ความรุนแรงของอาการป่วยภายหลังการฉีดวัคซีน ซึ่งพบว่า ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม จำนวน 29 ราย พบมีอาการปอดอักเสบเพียง 3 ราย ส่วนผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน 12 ราย พบมีอาการปอดอักเสบ 6 ราย นอกจากนี้ยังได้ขยายผลการศึกษาไปยังหอผู้ป่วยที่พบการติดเชื้อ มีบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน 537 ราย พบอัตราการติดเชื้อ เฉลี่ยร้อยละ 8 ในจำนวนนี้ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 โดส พบติดเชื้อร้อยละ 5.7 ซิโนแวค 1 โดส ติดเชื้อร้อยละ 16.7 แอสตร้าเซนเนก้า 1 โดส ติดเชื้อร้อยละ 6.6 ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนพบติดเชื้อร้อยละ 33.3 จากผลการศึกษาเบื้องต้น พบว่าประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีนมีความปลอดภัย ช่วยให้ไม่ป่วยหนักมากขึ้น ป้องกันการเสียชีวิตจากโควิดได้ หรือแม้ได้รับการฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว ยังสามารถช่วยป้องกันอาการรุนแรงได้ เช่นกัน โดยจะนำข้อมูลนี้ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลต่าง ๆ ให้บุคลากรทางการแพทย์เข้ารับวัคซีนครบ 100 %