สธ.ชี้โควิดโรงงานเหล็กกินน้ำแก้วเดียวกันทำติดเชื้อพุ่ง

2021-05-04 18:00:34

สธ.ชี้โควิดโรงงานเหล็กกินน้ำแก้วเดียวกันทำติดเชื้อพุ่ง

Advertisement

อธิบดีกรมควบคุมโรคชี้กรณีโควิดโรงงานเหล็กสมุทรปราการกินอาหารร่วมกัน กินน้ำแก้วเดียวกันทำให้ติดเชื้อสูง 100 กว่าคน

เปิดภาพเมียหลวงบุกงานแต่งโฉมใหม่ไฉไลกว่าเดิม

"หนุ่ม ศรราม"โต้ติดเหล้า ชี้ "กุ้งพลอย" บอกเองไม่เอาลูกแล้ว

เมื่อวันที่ 4  พ.ค. ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โรคโควิด 19 ว่า วันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,763 ราย รักษาหายเพิ่ม 1,490 ราย เสียชีวิต 27 ราย ทำให้ระลอกใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 มีผู้รักษาหายสะสม 15,048 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 30,011 ราย เสียชีวิตสะสม 209 ราย ภาพรวมถือว่ายังพบผู้ติดเชื้อต่อเนื่อง แต่เริ่มทรงตัว โดยต่างจังหวัดควบคุมสถานการณ์ได้ดี แนวโน้มลดลง ส่วนใหญ่มีผู้ป่วยไม่ถึง 20 ราย สามารถค้นหาผู้ป่วยและติดตามผู้สัมผัสได้ดี ขอให้เคร่งครัดมาตรการป้องกันโรคต่อไป ส่วน กทม.และปริมณฑลยังมีแนวโน้มสูง ต้องจับตาชุมชนแออัดขนาดใหญ่ หากควบคุมสถานการณ์ใน กทม.และปริมณฑลได้ จะควบคุมสถานการณ์ระดับประเทศได้

“ขณะนี้ยังพบการติดเชื้อจากการสัมผัสคนในครอบครัว การระบาดเป็นกลุ่มก้อนจากกิจกรรมรวมกลุ่ม โดยพบการแอบนัดมาเล่นพนันเป็นวงเล็ก การเทียบไก่ชน งานเลี้ยงสังสรรค์ในครอบครัวและกลุ่มเพื่อน การรับประทานอาหารร่วมกันในที่ทำงาน ถือว่ายังเป็นปัจจัยเสี่ยง เช่น กรณีโรงงานแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ ผู้ติดเชื้อรายแรกทำงานติดต่อกับคนหลายแผนก มีการรับประทานอาหารร่วมกัน และพบกินน้ำแก้วเดียวกัน ทำให้ติดเชื้อสูง 100 กว่าคน และติดเชื้อไปในชุมชน จึงต้องปิดโรงงาน คัดกรองหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูงไปกักตัวและรักษาพยาบาล กรณีนี้คล้ายกับแพปลา จ.ระนอง ที่ผู้ติดเชื้อรายแรกพบปะผู้คนจำนวนมากทำให้ติดเชื้อหลายคน” นายแพทย์โอภาสกล่าว ทั้งนี้ ขอความร่วมมือโรงงาน สถานประกอบการ เคร่งครัดมาตรการเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ สแกนไทยชนะ งดรับประทานอาหารร่วมกัน แยกภาชนะส่วนบุคคล จะทำให้ควบคุมสถานการณ์ได้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะคนที่พบปะผู้คนจำนวนมาก การใส่หน้ากากจะช่วยลดการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ในพื้นที่ได้ รวมถึงการใส่หน้ากากในบ้านจะช่วยลดการแพร่เชื้อไปสู่ผู้สูงอายและคนมีโรคประจำตัวได้

นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า ขณะนี้ผู้รักษาหายเพิ่มขึ้น อัตราการรักษาหายมากกว่า 95  เปอร์เซ็นต์ จึงต้องพยายามลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ คาดว่าใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ สถานการณ์การรักษาในโรงพยาบาลจะดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลโดยจัดหาไอซียูเพิ่มเติมรองรับผู้ป่วยอาการหนัก และปรับเปลี่ยนให้วินิจฉัยกลุ่มอาการ สีเหลืองได้เร็วขึ้นและให้ยาเร็วขึ้น มีเตียงเพิ่มอีก 2 พันกว่าเตียง ทำให้สถานการณ์การรักษาค่อนข้างคงตัว สำหรับศูนย์แรกรับและส่งต่อนิมิบุตร มีผู้ติดต่อเข้ามาสะสม 247 ราย ส่งผู้ป่วยไปรักษาได้ 239 ราย คิดเป็น 96.8 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าช่วยเหลือส่งต่อได้ทันท่วงที ส่วนการตรวจหาเชื้อโควิดในห้องปฏิบัติการเฉลี่ยวันละ 5-6 หมื่นตัวอย่าง มากที่สุดคือ 7 หมื่นกว่าตัวอย่างต่อวัน ถือว่าตรวจได้ค่อนข้างมาก

นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้กระจายวัคซีนโควิด 19 แล้ว 2.1 ล้านโดส ฉีดวัคซีนแล้ว 1.49 ล้านโดส คิดเป็น 75 เปอร์เซ็นต์  สำหรับวัคซีนซิโนแวค 5 แสนโดสผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เมื่อวันที่ 3 พ.ค.เริ่มกระจายวัคซีนแล้ว โดยวันที่ 6 พฤษภาคมจะมีวัคซีนซิโนแวคมาอีก 1 ล้านโดส และวันที่ 22 พฤษภาคมมาอีก 1.5 ล้านโดส จากนั้น จะมีการทยอยส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส ทำให้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ตัวเลขการฉีดจะพุ่งขึ้นทันกับสถานการณ์ ส่วนการลงทะเบียนนัดหมายฉีดวัคซีนผ่านหมอพร้อมมีจำนวน 879,830 ราย ผ่านไลน์หมอพร้อม 698,402 ราย และแอปพลิเคชัน 181,428 ราย ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าการบินไปฉีดวัคซีนโมเดอร์นาฟรีที่สหรัฐอเมริกาไม่เป็นความจริง สำหรับโรงพยาบาลเอกชนถือเป็นหน่วยบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ซึ่งให้ความร่วมมือฉีดตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมควบคุมโรคและไม่คิดมูลค่า โดยมี สปสช.สนับสนุนค่าใช้จ่ายการฉีดวัคซีน 20 บาทต่อคน