"คุณหญิงสุดารัตน์" ชี้ภูมิคุ้มกันหมู่คือคำตอบสุดท้ายของยุทธการสยบโควิดภายในปี 64 อยากให้นายกฯเปิดใจ เร่งแก้ไขนโยบายผิดพลาดทั้งหมด
ช็อก! โฆษก ศบค.แจงทั้งประเทศเหลือเตียงรองรับผู้ป่วย 19 วัน
คลัสเตอร์ รมต. ติดโควิดแล้ว 28 คน
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเพจ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ระบุว่า ภูมิคุ้มกันหมู่คือคำตอบสุดท้ายของยุทธการสยบ COVID ภายในปี 64 ค่ะ แทบจะทุกประเทศทั่วโลก ผู้นำประเทศของต่างรู้ดีว่าภูมิคุ้มกันหมู่ ไม่ได้มีไว้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตคนให้ปลอดภัยจากโควิด19 อย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ภูมิคุ้มกันหมู่ จะทำให้ประชาชนทุกคน ทำมาหากินกันได้ตามปกติ ดังนั้นรัฐบาลทั้งหลายจึงมุ่งเน้นการใช้เงินในการจัดหาวัคซีนเป็นหลัก มากกว่าการเอาเงินภาษีประชาชน มาแจกคืนให้ประชาชน หรือแปลความว่า รัฐบาลทั้งหลายให้ความสำคัญกับ “ภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืน” เพราะนอกจาก ประชาชนจะต้องปลอดภัยจากโรคระบาดแล้ว #ประชาชนจะต้องไม่อดตาย อีกด้วย
เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา เราจึงเห็นทุกประเทศทั่วโลก ต่างกระหายวัคซีน ทุกประเทศต่างเสาะแสวงหาวัคซีนหลากหลายยี่ห้อ เพื่อมาฉีดให้ประชาชน โดยภาครัฐและเอกชน จะร่วมมือกันทุกวิถีทาง เพื่อประสานและจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด เพื่อบริการกับประชาชนให้ครบทั้งประเทศ ในโลกยุคโควิด ประเทศไหนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ก็พร้อมทันทีสำหรับการ “เปิดประเทศ” เพราะการเปิดประเทศเร็วกว่าคนอื่นก็คือ “โอกาส” ในการพัฒนาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนให้ล้ำหน้าไปก่อนใครๆ ส่วนประเทศไหนไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด ก็ย่อมถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ล้าหลัง ไม่สามารถพัฒนาชีวิต และเศรษฐกิจของประชาชนให้มั่นคงได้
เท่าที่ฟังมา ก็มีแต่ประเทศไทยเรานี่แหละค่ะ ที่ผู้นำประเทศออกมาพูดเต็มปากว่า “เราป้องกันโควิดได้ดี จึงสั่งวัคซีนมาน้อย” ใช้วิธีให้หน่วยงานของรัฐ ออกมาจรรโลงจิตใจประชาชนด้วย #วัคซีนทิพย์ และโครงการที่ลงท้ายด้วยชนะๆทั้งหลาย โดยที่ไม่มีสิ่งใดรองรับว่า สิ่งที่ตนตัดสินใจกระทำไปนั้น ถูกต้องตามหลักวิชาการหรือไม่ จึงเท่ากับว่านายกอาจกำลังพาประเทศไปสู่หายนะ มากกว่าชัยชนะ วิธีได้มาซึ่งภูมิคุ้มกันหมู่ ที่ง่ายและประหยัดที่สุด คือเราต้องเร่งหาวัคซีนที่ดี มาฉีดให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด รัฐบาลต้องทำทุกวิถีทางที่สามารถจัดหา #วัคซีนโควิด19 มาให้ได้และ “รัฐบาลต้องไม่ปิดกั้นเอกชนในการจัดหาวัคซีนดีๆ มาบริการให้กับคนไทย” ด้วยค่ะดิฉันขอยืนยันคำเดิม ที่ได้พูดไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ตามนี้นะคะ
1. รัฐบาลต้องยกระดับให้ การจัดหาวัคซีนคือวาระแห่งชาติ ระดมสรรพกำลังทั้งภาครัฐและเอกชน จัดหาวัคซีนมาให้เพียงพอต่อความต้องการของคนในชาติ
2. รัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนที่โลกให้การยอมรับว่าดี มีข้อมูลทางวิชาการรองรับว่าได้ผล ในลำดับTopของโลก ไม่น้อยกว่า 5-6ยี่ห้อ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกฉีด เพราะวัคซีนแต่ละยี่ห้อ ล้วนมีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันไป
3. รัฐบาลต้องปรับแผนการจ่ายวัคซีน เพื่อที่จะฉีดให้คนไทยได้ครบ 50 ล้านคน หรือ 70เปอร์เซ็นต์ ของคนไทยเป็นอย่างน้อย โดยมีเงื่อนเวลาอย่างช้าไม่เกินเดือน ธ.ค. 2564 นี้
4. ปลดล็อคการจัดหาวัคซีนของ รพ.เอกชน หรือท้องถิ่นที่มีความสามารถในการจัดหาด้วยตัวเอง โดยใช้กลไกของรัฐเพียงเพื่อกำกับดูแลคุณภาพ และมาตรฐานของวัคซีน และกระบวนการในการฉีดให้ได้มาตรฐานตามที่สาธารณสุขกำหนดเท่านั้น
หากรัฐบาลไม่ทำเช่นนี้ อย่าหวังว่าจะเปิดประเทศได้ทันเหมือนประเทศอื่น ยิ่งปล่อยให้เนิ่นช้าไปมากเท่าไหร่ และปล่อยให้ผู้มีอำนาจใช้จ่ายเงินทองสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ประเทศไทยจะไม่สามารถแก้ปัญหาCovid19 อย่างยั่งยืนได้เลย วันนี้ดิฉันขอเรียกร้องให้ ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องใจกว้าง ไม่ตั้งแง่กีดกันเอกชน หรือผู้มีความรู้ความสามารถอื่นๆที่ไม่ใช่พวกพ้องตน ดิฉันอยากเห็นภาพการ “Unite Thailand” ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ร่วมมือร่วมแรงกัน ฝ่าฟันวิกฤติของชาติในครั้งนี้ไปให้ได้ อย่าคิดว่ารัฐบาลเป็นเจ้าของประเทศคนเดียว เพราะถ้าประเทศไทยแพ้ครั้งนี้ พวกเราไม่ว่ารัฐ-เอกชน-ประชาชน ทุกคนคือผู้แพ้ทั้งหมด ข้อเสนอ ข้อท้วงติง ของทุกฝ่าย รวมทั้งของดิฉันด้วย ล้วนเป็นไปด้วยความปรารถนาดี ถ้ารัฐบาลเปิดใจรับฟัง และนำไปแก้ไข งานก็จะสำเร็จ ซึ่งผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนคนไทยและรัฐบาลเองทั้งสิ้น อยากให้นายกฯเปิดใจ และเร่งแก้ไขนโยบายผิดพลาดทั้งหมด เพื่อนำพาประเทศ มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย "สยบCOVID ให้ได้ภายในปี 64" ร่วมกัน
เพื่อประเทศไทย และพี่น้องคนไทยที่รักของเราทุกคน ค่ะ
ขอบคุณเพจคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan