"อนุทิน" แจงยิบยันไม่ขัดแย้งนายกฯ ปมตั้ง กก.จัดหาวัคซีน วอนอย่ามองทุกเรื่องเป็นการเมือง
ดราม่าแม่อุ้มลูก 10 เดือนติดโควิดไป รพ. 4 ที่ไม่มีใครรับ
“แจ๊ส ชวนชื่น” ติดเชื้อโควิด-19 พบมีไทม์ไลน์ร่วมงาน “บอล-โย” เมื่อ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา
ตรวจรอบ 2 พบเชื้อ "นนท์ ธนนท์" ติดโควิด 19 พร้อมเผยไทม์ไลน์
เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 11 เม.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุขได้โพสต์ข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก "อนุทิน ชาญวีรกูล" ระบุว่า ร่วมมือร่วมใจ เพื่อคนไทยปลอดภัย มีข่าวทางสื่อมวลชนว่านายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาการจัดหาวัคซีนโควิดฯ โดยไม่มีผมในฐานะ รมว.สาธารณสุขรวมอยู่ด้วย แล้ววิเคราะห์กันว่าเป็นความขัดแย้งในรัฐบาล หรือความไม่ไว้ใจให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ นายกรัฐมนตรีจึงตั้งคณะทำงานฯ มาทำหน้าที่แทนกระทรวงสาธารณสุข ขอเรียนชี้แจงว่า คณะทำงานฯ คณะนี้ ประกอบด้วย ฝ่ายวิชาการ ภาครัฐ และภาคเอกชน แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐบาล เพื่อสนับสนุนการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข สามารถระดมความร่วมมือจากทุกส่วนราชการ และภาคเอกชน ได้มากกว่ากระทรวงสาธารณุข ดำเนินการหน่วยงานเดียว จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกฝ่ายจะมีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาของประเทศ รูปแบบการทำงานในขณะนี้ เป็นการร่วมมือกันทำงาน ช่วยกันทำงาน เพื่อประชาชน และประเทศชาติ ไม่ใช่การแย่งงานกันทำ แต่เป็นการแบ่งงานกันทำ คณะทำงานฯ ทำหน้าที่วางแนวทาง มาตรการจัดหาวัคซีน เพิ่มเติมมาให้บริการประชาชน กระทรวงสาธารณสุขทำหน้าที่จัดซื้อวัคซีน และบริหารจัดการวัคซีน ไปให้ถึงประชาชนเร็วที่สุด โดยมีสถานพยาบาลภาครัฐ และ ภาคเอกชนร่วมกันฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนตามแผนการฉีดวัคซีน ที่กรมควบคุมโรค จัดทำไว้ ซึ่งคาดว่าจะฉีดให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้ครบถ้วน ภายในเดือน ต.ค.นี้
“ผมขอเรียนว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขสั่งซื้อวัคซีนมาให้ประชาชน แล้ว จำนวน 63 ล้านโดส ขณะนี้มาถึงประเทศไทย แล้ว 2.117 ล้านโดส ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปจะมีวัคซีนให้บริการประชาชน เดือนละ 5-10 ล้านโดส จนครบตามจำนวนที่สั่งซื้อไว้ คือ 63 ล้านโดส รวมแล้วกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งซื้อวัคซีนมาให้ประชาชน จำนวน 63 ล้านโดส สามารถฉีดให้ประชาชน 31.5 ล้านคน ในขณะที่ทางวิชาการเราต้องฉีดวัคซีน ให้ประชาชนประมาณ 40 ล้านคน หรือประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งประเทศ และ ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย อีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นในปีนี้เราจะต้องใช้วัคซีน จำนวน 80ล้านโดส สั่งซื้อมาแล้ว 63 ล้านโดส จึงต้องสั่งซื้อวัคซีน สำหรับคนไทย เพิ่มอีกประมาณ 17 ล้านโดส และ อีกจำนวนหนึ่งสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นภารกิจของคณะทำงานพิจารณาจัดหาวัคซีนฯ มีเกร็ดๆ เล็กแต่มีความหมายมาก สำหรับการบริหารวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ที่กระทรวงสาธารณสุข สั่งซื้อ มา 61 ล้านโดส ผู้ผลิตใส่ขวดละ 6.5 ซีซี มาให้ จำนวน 6.1 ล้านขวด ซึ่งทีมแพทย์ พยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข สามารถฉีดให้ผู้รับวัคซีน ได้ ขวดละ 12 โดส มากกว่าที่กำหนดไว้ ถึง 2 โดส ต่อขวด ดังนั้นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 6.1 ล้านขวด หากจัดการให้ดี จะฉีดให้ประชาชน ได้เพิ่มขึ้น 12.2 ล้านโดส หรือ 6.1 ล้านคน ถ้าทำได้ตามที่เตรียมการ และซ้กซ้อมกันไว้ วัคซีนที่สั่งซื้อไว้แล้ว จะครอบคลุมประชากรที่ต้องรับวัคซีน ได้เกือบทั้งหมด ขาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากทำได้ตามนี้ จะเป็นการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”นายอนุทิน ระบุ
นายอนุทิน ระบุอีกว่า ภารกิจหลักของกระทรวงสาธารณสุขนับแต่นี้ไปจึงเป็นการบริหารจัดการกระจายวัคซีน 63 ล้านโดส ไปฉีดให้แก่ประชาชนในทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดของประเทศไทยตามแผนควบคุมโรคให้ได้เร็วที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด ผมสั่งการให้ทุกสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ฉีดได้เสร็จก่อนเวลาที่กำหนด รวมทั้งขอความร่วมมือสถานพยาบาลของทุกหน่วยงานภาครัฐ และ โรงพยาบาลเอกชน ช่วยกันฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนด้วย วัคซีนจำนวน 63 ล้านโดส ที่สั่งซื้อมาแล้ว เป็นวัคซีนที่รัฐบาล จัดซื้อมาด้วยงบประมาณแผ่นดิน เพื่อฉีดให้ประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ และ หากมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ รัฐบาลจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล ถึงแม้ว่าผู้ผลิตวัคซีนจะไม่รับผิดชอบ เพราะเป็นการฉีดวัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้ประเมินเบื้องต้นแล้วว่า การสั่งซื้อวัคซีน 63 ล้านโดส ในขณะนี้เพียงพอที่จะให้บริการคนไทย หากจะขาดก็เพียงไม่มากนัก และได้พยายามจัดซื้อมาตลอด แต่ยังจัดซื้อเพิ่มเติมไม่ได้ เพราะผู้ผลิตวัคซีน ยังผลิตวัคซีนได้ไม่ทันกับคำสั่งซื้อ ที่ทุกประเทศทั่วโลก มีความต้องการวัคซีน มากกว่ากำลังผลิต เป็นจำนวนมากหลายเท่าตัว กระทรวงสาธารณสุข จะสนับสนุนการทำงานของคณะทำงานฯ เพื่อให้การบริหารจัดการวัคซีนของประเทศไทย ทั้งระบบ มีประสิทธิภาพ และเพียงพอ กับบริการประชาชนคนไทย และคนต่างชาติทุกคน ที่อยู่ในประเทศไทย ตามปรัชญาการควบคุมโรค ที่องค์การอนามัยโลก บอกว่า “ไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครจะปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” หมายความว่าเราต้องทำให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยและจะต้องได้รับวัคซีน ต้องได้รับวัคซีนครบถ้วน โดยไม่เลือกสัญชาติใดๆ
ขอชี้แจงสาระสำคัญอีกประการหนึ่ง คือวัคซีนโควิดทุกตัวที่มีการใช้อยู่ในขณะนี้ เป็นวัคซีนใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้ไป ศึกษาไป รายงานผลกันไป ยังไม่ใช่วัคซีนที่สมบูรณ์เหมือนวัคซีนอื่นๆ และ วัคซีนมีอายุใช้งานเพียง 6เดือน เท่านั้น เป็นเหตุผลที่กระทรวงสาธารณสุข ไม่จัดซื้อมาสำรอง เป็นจำนวนมาก เพราะหากฉีดไม่ทัน จะสิ้นเปลืองงบประมาณ และ หากเชื้อโรคกลายพันธุ์ ต้องใช้วัคซีนใหม่ ก็จะต้องซื้อวัคซีนใหม่ โดยที่วัคซีนเดิม ใช้ไม่หมด และใช้ไม่ได้ จะเป็นการสูญเสียงบประมาณอีก ขอเรียนว่าในคณะทำงานฯ มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุขหลายท่าน เป็นผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเป็นคณะทำงานฯ แล้ว ผมได้ให้นโยบายทุกท่านสนับสนุน ร่วมมือกับคณะทำงานฯ เพื่อการกำหนดมาตรการ และแนวทางการจัดหาวัคซีน เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นลำดับแรก ขอความกรุณาอย่ามองทุกเรื่องเป็นการเมืองเป็นความขัดแย้ง ผมไม่เคยนำเรื่องสุขภาพ และ ชีวิตของประชาชนมาเป็นเงื่อนไขทางการเมือง และไม่เคยคิดเอาการเมืองมาใส่ในสถานการณ์โรคระบาด ผมสนับสนุนการทำงานของทุกคน ทุกหน่วย ทุกฝ่าย เพื่อที่จะนำพาประชาชนและประเทศไทยผ่านวิกฤติโรคระบาด ครั้งนี้ไปได้ด้วยความปลอดภัย #คนไทยรวมใจเพื่อคนไทยปลอดภัย