ตร.เร่งหารือสรุปคำพิพากษาคดี"ครูจอมทรัพย์"เล็งเอาผิดขบวนการรับผิดแทน ยืนยัน หากเข้าข่ายพยานเท็จ เอาผิดทางกฎหมายทันที รอแค่ตรวจสอบหลักฐาน
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีครูจอมทรัพย์ หรือ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 55 ปี อดีตข้าราชการครู ชาว จ.สกลนคร ที่ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรื้อฟื้นคดี โดยอ้างว่าตกเป็นแพะในคดีขับรถยนต์ชนคนตาย เหตุเกิดเมื่อ 11 มี.ค.2548 ในพื้นที่ สภ.นาโดน อ.เรณูนคร จ.นครพนม ทำให้ครูจอมทรัพย์ตกเป็นจำเลย ในฐานความผิดขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 รวมถึง ฐานไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรและไม่ไปแสดงตัวแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สุดท้ายหลังต่อสู้ 3 ศาล ศาลจังหวัดนครพนม ได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 17 พ.ย.2560 ผลคำพิพากษา คือ ยกคำร้องของครูจอมทรัพย์ ยืนตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้น และศาลฎีกาเดิม หมายถึง ครูจอมทรัพย์ ไม่ได้เป็นแพะ ตามคำร้อง ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญ คือ พยานหลักฐานที่นำมาเบิกความต่อศาล ในการรื้อฟื้นคดี ไม่น่าเชื่อถือ แต่ไม่ต้องกลับไปรับโทษในคดีนี้อีก เพราะพ้นโทษมาแล้ว
ขณะเดียวกันในความคืบหน้าของคดี ประเด็นสำคัญ คือ หลังคำพิพากษาของศาลฎีกา ยกคำร้องของครูจอมทรัพย์ สิ่งที่ตามมา คือ กลุ่มพยานที่เบิกความต่อศาล ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เกี่ยวกับการสร้างพยานเป็นเท็จ รวมถึงขบวนการรับผิดแทน ที่หน่วยงานตำรวจจะต้องไปสอบสวนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิติกุล กล่าวว่า จากกรณีศาลฎีกามีคำตัดสินพิพากษาคดีครูจอมทรัพย์ คือ ยกคำร้อง หรือยืนตามศาลชั้นต้น และศาลฎีกาเดิม นั้นหมายถึงครูจอมทรัพย์ไม่ได้เป็นแพะ หรือไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมาย ส่วนในเนื้อหาสาระ ในการสอบสวนดำเนินคดีเกี่ยวกับกลุ่มพยาน รวมไปถึงอาจมีขบวนการรับจ้างรับผิดแทน ตามที่มีระบุในคำพิพากษา ว่า น่าจะมีการสร้างพยานเท็จของขบวนการรับผิดแทน ขั้นตอนต่อไปถือว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่จะเข้าไปรวบรวมพยานหลักฐาน สำนวนฟ้อง และรายละเอียดคำพิพากษา มาตรวจสอบหาข้อสรุป พร้อมตั้งคณะทำงาน ขึ้นมาติดตามตรวจสอบ เบื้องต้นยังไม่ขอระบุว่าจะดำเนินการเอาผิดขั้นไหน มีใครบ้าง แต่จะต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายอย่างแน่นอน ขอเวลาสักพัก เพราะเป็นคดีสำคัญ มีการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมมานานร่วม 10 ปี แต่ทางตำรวจยืนยันว่า จะมีการตรวจสอบดำเนินคดีอย่างแน่นอน หากพบหลักฐานที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำผิด ผู้บงการ ทั้งหมดต้องรอการตรวจสอบตามขั้นตอน
นายพงศา ราตรี ทนายความ ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมที่ดูแลรับผิดชอบคดีครูจอมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในคดีครูจอมทรัพย์ เมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาถือเป็นที่สิ้นสุด ซึ่งหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ดูแล รวบรวมหลักฐาน ให้ศาลพิจารณารื้อคดี ตามคำร้องทุกข์ เมื้อสิ้นสุดศาลฎีกาตัดสินว่า ยืนตามศาลชั้นต้น และศาลฎีกาเดิม ถือว่าครูจอมทรัพย์ ไม่ได้เป็นแพะ ในเรื่องของกระบวนการเยียวยาต้องจบลง ในส่วนของเนื้อหา รวมถึงคำพิพากษาตัดสินของศาล คือ ในการนำพยานหลักฐาน ทั้งหมดมาเบิกความต่อศาล ของฝ่ายผู้ร้อง ถือว่าไม่ใช่หลักฐาน และเป็นหลักฐานที่เชื่อถือไม่ได้ ในส่วนของขั้นตอนต่อไป คงต้องเป็นหน้าที่ของทางหน่วยงานตำรวจ ว่าจะมีการเข้าไปตรวจสอบ เอาผิดใคร ซึ่งหากพูดถึงตัว ครูจอมทรัพย์เอง ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือไม่ จะต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานทั้งหมด เพราะส่วนหนึ่งจากหลักฐาน ในช่วงระหว่างการรวบรวมหลักฐาน เพื่อขอรื้อคดี พบว่า เป็นช่วงที่ ครูจอมทรัพย์ ยังอยู่ในเรือนจำ อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงยุติธรรม ได้ดำเนินการตามภารกิจ เป็นที่เรียบร้อย ส่วนเรื่องที่ตามมาให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานรับผิดชอบ