ส.ส.ชาติพันธุ์เรียกร้องกองทัพเปิดทางช่วยเหลือชาวเมียนมาหนีภัยสงคราม

2021-03-29 22:55:27

ส.ส.ชาติพันธุ์เรียกร้องกองทัพเปิดทางช่วยเหลือชาวเมียนมาหนีภัยสงคราม

Advertisement

ส.ส.ชาติพันธุ์เรียกร้องกองทัพเปิดทางภาคประชาสังคมเข้าช่วยเหลือชาวเมียนมารหนีภัยสงครามข้ามแดนเข้าไทย 

แฟนเก่า "เบส รักษ์วนีย์ คำสิงห์"ขอพูดบ้าง

“เบส รักษ์วนีย์” ร่ายยาวเคลียร์ด่วน หลังเจอดราม่าคบ “ตงตง” ซ้อนแฟนเก่า

"อ.อ๊อด"โพสต์ภาพรอยพญานาค "เฟี้ยว์ฟ้าว" พร้อมข้อความสั้น ๆชัดมา

เมื่อวันที่ 29 มี.ค. นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่า  จากการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยในเมียนมาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2564 มีการออกมาประท้วงต่อต้านการทำรัฐประหารโดยประชาชนชาวเมียนมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีการปราบปรามอย่างหนักจนทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อยกว่า 500 คน นอกจากนี้กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในเมียนมาก็มีท่าทีไม่ยอมรับการรัฐประหารเนื่องจากกระทบต่อกระบวนการสันติภาพในประเทศ จนนำมาสู่การสู้รบกันอีกครั้ง วันที่ 27 มีนาคม 2564 กองทัพเมียนมาส่งเครื่องบินรบเข้าโจมตีและทิ้งระเบิดกองกำลังสหภาพกะเหรี่ยง บริเวณ อ.มื่อตรอหรือมูตรอ จ.ผาปูน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่ และเป็นจังหวัดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอนของประเทศไทย มีเพียงแม่น้ำสาละวินเท่านั้นเป็นแนวกั้นเขตแดนเท่านั้น วันที่ 28 มี.ค. 2564 เริ่มมีรายงานจากสื่อท้องถิ่นในพื้นที่ว่ามีประชาชนอพยพหนีตายจากการทิ้งระเบิด ทั้งเด็กและคนแก่ต้องหลบตามเพิงผาในถ้ำบ้าง ในเรือกสวนไร่นาและในป่าบ้าง ซึ่งจากการประเมินล่าสุดคาดว่ามีถึง 8,000 คน และยังมีบางส่วนที่อพยพข้ามแม่น้ำสาละวินมายังฝั่งไทยแล้ว คาดว่ามีสูงถึง 3,000 คน

นายมานพ  กล่าวต่อว่า วันที่ 29 มี.ค. 2564 มีความพยายามจะเข้าไปดูแลและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้อพยพที่ประสบเหตุการณ์ดังกล่าว เช่น มูลนิธิเพื่อนไร้พรหมแดน หรือ Friends Without Boarders และ The Border Consortium หรือ TBC ซึ่งเป็นองค์กรพาร์ทเนอร์ร่วมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR และองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ ต้องการที่จะเข้าไปช่วยในระดับเบื้องต้น แต่กลับถูกปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในพื้นที่ ข้อกังวลของผมต่อสถานการณ์ดังกล่าว ในสภาวะสงครามเช่นนี้ มีผู้หนีภัยสงครามจำนวนไม่น้อยข้ามแดนมายังประเทศไทย ทางการไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมเป็นอันดับแรก และคำนึงถึงกรอบความร่วมมือในระดับสากลด้วย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตรงกันข้าม การเข้าไปช่วยเหลือขั้นพื้นฐานตามหลักมนุษยธรรมแก่เด็กหรือคนแก่ ที่ได้รับบาดเจ็บที่หนีภัยสงครามมากลับไม่สามารถทำได้ และถูกยับยั้งโดยเจ้าหน้าที่ของไทย ข้อเรียกร้องของผมต่อสถานการณ์ดังกล่าวมีดังต่อไปนี้ 1.เมื่อสถานการณ์การสู้รบสงบลง ขอให้เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและองค์กรที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้อพยพลี้ภัย เข้าให้ความช่วยเหลือโดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมและมีมาตรการรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดอย่างรัดกุม 2.ในการเข้าไปช่วยเหลือผู้อพยพ ต้องเปิดให้ภาคประชาสังคมของไทยและนานาชาติ เข้าตรวจสอบได้ เช่น การลงชื่อเข้าเยี่ยม ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้อพยพ โดยเฉพาะเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงสูง โดยการเข้าตรวจสอบในครั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการคัดกรองความเสี่ยงของโควิด 3.เมื่อสถานการณ์สงบลงและมีแนวโน้มดีขึ้น ผู้อพยพพร้อมกับไปยังถิ่นฐานเดิม ขอให้ UNHCR และกระทรวงมหาดไทยเป็นพยานความสมัครใจ หากมีผู้ไม่สมัครใจจะกลับไปยังถิ่นฐานเดิม ควรมีการดำเนินการระหว่าง UNHCR ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยคัดกรองผู้อพยพโดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อการประหัตประหารหากถูกส่งตัวกลับ 

"ทั้งหมดนี้ เป็นข้อเรียกร้องของผมไปยังทางการไทย ในกรณีผู้อพยพที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารของเมียนมาร์ กับกองกำลังสภาพกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้ชิดกับชายแดนไทย และผู้อพยพบางส่วนก็ได้ข้ามฝั่งมายังไทยและรอการช่วยเหลืออยู่ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีคำตอบให้กับท่าทีสนับสนุนรัฐบาลทหารของเมียนมาร์อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน ในฐานะประเทศสมาชิกในประชาคมอาเซียน แม้จะมีหลักการการไม่ยุ่งเกี่ยวกิจการภายในระหว่างกัน แต่การรัฐประหารและการสู้รบที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ในครั้งนี้ อยู่นอกเหนือเงื่อนไขใดใด และเป็นเรื่องของหลักมนุษยธรรมที่ต้องยึดถืออยู่แล้ว ดังนั้นผมขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย มีท่าทีที่เคารพหลักการสากล เคารพความเป็นมนุษย์และสันติสุขของประชาชนชาวเมียนมาร์ทุกคน"นายมานพ กล่าว