ผู้ว่า ธปท.มองเศรษฐกิจไทยปี 61โต 3.8%

2017-11-16 21:50:59

ผู้ว่า ธปท.มองเศรษฐกิจไทยปี 61โต 3.8%

Advertisement

ผู้ว่า ธปท. มอง เศรษฐกิจไทยปี 2561 โต 3.8% ใกล้เคียงปี 2560 มองภาครัฐยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ยังเป็นห่วงปัญหาหนี้ครัวเรือน ชี้พร้อมเพย์ตอบโจทย์ประชาชน พร้อมเตรียมให้บริการ Bill payment และ Request to pay

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกขณะนี้ต่างจากช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี แสดงถึงความมั่นใจต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีและเป็นการฟื้นตัวที่กระจายตัวจากการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกา และกลุ่มยุโรโซนที่ตลาดแรงงานเริ่มฟื้นตัว และได้ส่งผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามและระมัดระวังปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะปัญหาการเมืองระหว่างประเทศที่รุนแรงมากขึ้น ในคาบสมุทรเกาหลี และตะวันออกกลาง ปัญหามาตรการกีดกันทางการค้า จากนโยบายของสหรัฐอเมริกา รวมถึง สภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่เริ่มตึงตัว ซึ่งจะเข้าสู่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 7 - 8 ปีทีผ่านมาที่อยู่ในช่วงขาลง




ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี 2561 ธปท.มองว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับปี 2560 ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ร้อยละ 3.8 โดยได้รับอานิสงค์จากการส่งออกที่ฟื้นตัวมากขึ้นในทุกประเภทสินค้า การจ้างงานและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อการบริโภคในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น การลงทุนภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ การลงทุนเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักร สินค้าทุน เพื่อเพิ่มผลิตภาพ ซึ่งในปี 2561 การลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยวจะเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ภาคเศรษฐกิจไทยที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตรและต่างจังหวัดยังไม่ดีมากนัก แม้รายได้เกษตรกรบางกลุ่มเริ่มปรับดีขึ้น แต่ยังประสบปัญหาภาวะหนี้ครัวเรือน ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 77 - 78  ของ GDP ลดลงจากช่วงปลายปี 2558 ที่แตะระดับร้อยละ 80 ของ GDP ซึ่งในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมาไทยเป็นหนี้ต่อหัวสูงขึ้นและรวดเร็ว และ 1 ใน 5 ของคนที่เป็นหนี้ช่วงอายุ 30 ปี จะเป็นหนี้เสีย ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนถือเป็นความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจไทยและสังคมไทยในอนาคต จึงเป็นเหตุที่สำคัญที่ ธปท. ออกมาตรการควบคุมและกำกับดูแล



นายวิรไท ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาการใช้พร้อมเพย์ได้พัฒนาตอบโจทย์สนับสนุนให้ประชาชนใช้เงินสด โดยข้อมูลพบว่า มีปริมาณธุรกรรม e-Payment ในธุรกรรมขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น และล่าสุดจะมีบริการพร้อมเพย์รูปแบบใหม่เพื่อตอบโจมย์ภาคธุรกิจ ได้แก่ Bill payment ซึ่งจะสามารถให้ผู้ใช้บริการสามารถชำระเงินที่มีข้อมูลเชื่อมโยงกับการใช้บริการสินค้า สะดวกต่อการซื้อขายออนไลน์ และการจ่ายค่าบริการ และในต้นปี 2561 จะมีบริการเรียกชำระเงิน หรือ Request to pay โดยร้านค้าสามารถส่งคำขอให้ลูกค้าสามารถจ่ายเงินได้ โดยลูกค้าสามารถจ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์ตามคำขอ ซึ่งจะช่วยให้บริการ ข้อมูลซื้อสินค้า การชำระเงินและการทำบัญชีสะดวกมากขึ้น

นอกจากนี้ หลายธนาคารได้พัฒนาการจ่ายเงินผ่าน QR Code ซึ่งจะเป็นรูปแบบการให้ข้อมูลการชำระเงินที่สะดวกขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วย