"อนุทิน" เผย ครม.ให้งบจัดซื้อวัคซีนเพิ่ม 35 ล้านโดส

2021-03-02 19:20:42

"อนุทิน" เผย ครม.ให้งบจัดซื้อวัคซีนเพิ่ม 35 ล้านโดส

Advertisement

"อนุทิน"เผย ครม. อนุมัติงบกว่า  6,387 ล้าน เพื่อจัดซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 35 ล้านโดส เพื่อให้เป็นไปตามแผนครอบคลุมประชากรในประเทศ เตรียมเสนอการออกหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนต่อที่ประชุม คกก.โรคติดต่อแห่งชาติวันจันทร์นี้ เพื่อแสดงความพร้อมและความปลอดภัยในการเปิดประเทศ

เพื่อนห้ามก็ไม่ฟัง !! ซุปตาร์สาวคนดัง กำลังจะแต่งงานกับผู้ชายที่มีเมียแล้ว

ปวดใจมาก “บุ๋ม” สงสารดาราสาวส่อวิวาห์ล่ม เผยรู้ชื่อโลกใบที่ 1 แล้ว

เผยแชต “จั๊กจั่น” โต้เป็นดาราสาวส่อวิวาห์ล่ม ยันไม่ใช่โลกใบที่ 2

เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบชุดอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิตู้เก็บวัคซีนโควิด 19 จากกลุ่มบริษัท ปตท. ว่า ประเทศไทยได้สั่งจองซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 63 ล้านโดส ขณะนี้ได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ได้รับมาในระยะแรก ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา วัคซีนในส่วนที่เหลือจะถูกจัดส่งมายังจังหวัดต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยภายในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2564 จะมีวัคซีนที่ผลิตในประเทศมาฉีดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในการให้วัคซีนกับประชาชนในประเทศ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 6,387,285,900 บาท จัดซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนกา จำนวน 35 ล้านโดส ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าวัคซีนจะถูกจัดส่งให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย อย่างครอบคลุมทั่วถึงแน่นอน นอกจากจะครอบคลุมพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว จะครอบคลุมให้กับทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ให้มีความปลอดภัยทุกคนตามหลักขององค์การอนามัยโลกที่บอกว่า จะไม่มีใครปลอดภัยจนกว่าทุกคนปลอดภัย ถือเป็นหลักการที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้ทุกท่าน โดยเฉพาะคนไทยให้มีความปลอดภัย

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สำหรับการเตรียมพร้อมรับการเปิดประเทศ ที่จะมีการเดินทางเข้าออกประเทศ กระทรวงสาธารณสุข ได้หารือการจัดเอกสารรับรองการได้รับการฉีดวัคซีน ออกโดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นเอกสารทางราชการ ที่แนบไปกับพาสปอร์ต เพื่อแสดงถึงความพร้อมของประเทศไทย ความปลอดภัยของประชาชนคนไทย ที่ได้รับหนังสือรับรองการฉีดวัคซีน ในเรื่องนี้จะเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อแห่งชาติ โดยในวันจันทร์นี้จะนำเข้าสู่การพิจารณา ของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติต่อไป