ศาลฎีกายกฟ้อง"ชายชุดดำ"ปะทะเดือดแยกคอกวัว"ปี 53

2021-02-16 19:25:19

ศาลฎีกายกฟ้อง"ชายชุดดำ"ปะทะเดือดแยกคอกวัว"ปี 53

Advertisement

"ศาลฎีกา" ยกฟ้อง ชายชุดดำ คดีปะทะเดือดแยกคอกวัว ปี 53 ชี้เหตุพยานโจทก์ไร้น้ำหนัก

รมว.ยธ. แจงนายกฯ ไม่เคยสั่งปมปราบบ่อน

นายกฯ เปิดคลิปโต้ “เสรีพิศุทธ์” ยันไม่เกี่ยวข้องเงินชั่ว

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. มีรายงานจากห้องพิจารณา 916 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่า ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ คดีหมายเลขดำ อ.4022/2557 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี, นายชำนาญ ภาคีฉาย และ นางปุนิกา หรืออร ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานค, นายปรีชา อยู่เย็น ชาว จ.เชียงใหม่ และ นายรณฤทธิ์ สุริชา ชาว จ.อุบลราชธานี หลังตกเป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 จำเลยทั้ง 5 พร้อมพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิดที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้ อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอชเค 33 หรือปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวันเวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 ก.ย. 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้ง 5 ส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดี




คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค.2560 ว่า นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และนายปรีชา จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 ให้จำคุกคนละ 8 ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-5 พิพากษายกฟ้อง ต่อมาศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2563 ให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น สั่งจำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 10 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 3-5 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา และวันนี้ ศาลอ่านคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 ฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ส่วนจำเลยอื่นไม่ได้ยื่นฎีกา


คำพิพากษาศาลฎีกา ได้บรรยายพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบโดยละเอียด โดยระบุถึงพยานโจทก์ที่ยืนยันว่าเห็นผู้ตะโกนด่าพยานจากรถตู้เป็นจำเลยที่ 1 ซึ่งปกติความสามารถในการจดจำบุคคลจะลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่พยานเบิกความในคดีไต่สวนการตายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ กลับจำตำหนิรูปพรรณของชายบนรถตู้ไม่ได้ ต่างกับที่เบิกความว่าเป็นจำเลยที่ 1 จึงมีน้ำหนักน้อยลง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีความสงสัยตามสมควร ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 โดยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 จึงฟังขึ้น พิพากษากลับยกฟ้อง ให้ศาลอาญาออกหมายปล่อยตัวจำเลย