ทางการอินโดนีเซียเผยผลการสอบสวนเบื้องต้น เหตุการณ์เครื่องบินโดยสารสายการบินศรีวิชัย แอร์ เที่ยวบิน เอสเจ 182 ตกในทะเลนอกชายฝั่งกรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่บนเครื่องเสียชีวิตทั้งลำรวม 62 คน พบสาเหตุอาจเกิดจากเครื่องยนต์ขัดข้อง ความไม่สมดุลของวาล์วเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัว และพุ่งดิ่งตกลงในทะเล
รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติอินโดนีเซีย หรือ เคเอ็นเคที (National Transportation Safety Committee : KNKT) เผยแพร่เมื่อวันพุธ ระบุว่า เมื่อเครื่องบินโบอิ้ง 737-524 อายุการใช้งาน 26 ปี ขึ้นสู่ความสูงระดับ 8,150 ฟุต หรือ 2,484 เมตร หลังบินขึ้นจากท่าอากาศยานนานาชาติซูการ์โน-ฮัตตา ชานกรุงจาการ์ตา วาล์วเครื่องยนต์ด้านซ้ายเคลืท่อนที่ถอยหลัง ขณะท่าวาล์วเครื่องยนต์ด้านขวา ยังอยู่ในจุดเดิม และเมื่อเครื่องบินขึ้นสู่ระดับความสูง 10,900 ระบบการบินอัตโนมัติ หรือ ออโตไพล็อต หยุดทำงาน และเครื่องบินม้วนตัวไปทางซ้าย ในมุมมากกว่า 45 องศา แล้วเริ่มปักหัวดิ่งลงสู่พื้น
อุบัติเหตุของเที่ยวบิน เอสเจ 182 นับเป็นเหตุการณ์เครื่องบินตกครั้งใหญ่ครั้งที่ 3 ของอินโดนีเซีย ในช่วงเวลากว่า 6 ปี และแสดงให้เห็นถึงสถิติที่ย่ำแย่ทางด้านความปลอดภัยในการบินโดยสารของประเทศ
สายการบินศรีวิชัย แอร์ ของอินโดนีเซีย เริ่มต้นธุรกิจด้วยเครื่องบินเพียงแค่ลำเดียว ในปี พ.ศ. 2546 ก่อนจะขยายกลายเป็นสายการบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ด้วยแผนการซื้อเครื่องบินเก่าในราคาถูก และบินให้บริการในเส้นทางที่สายการบินอื่นๆ ไม่สนใจ
นายนูร์ไคโย ยูโตโม่ หัวหน้าคณะผู้สอบสวนของเคเอ็นเคที กล่าวว่า หน่วยช่างซ่อมบำรุงเคยตรวจพบปัญหา 2 ครั้ง ในระบบวาล์วอัตโนมัติ ที่ควบคุมการทำงานของพลังงานเครื่องยนต์ เครื่องบินลำที่เกิดเหตุ แต่ปัญหาถูกแก้ไขเมื่อวันที่ 5 ม.ค. หรือ 4 วันก่อนที่เครื่องบินจะตก.