"สมชัย"ซัด"ใจแคบ-น่ารังเกียจ"ประวิงเวลาแก้ไข รธน.

2021-02-10 12:35:52

"สมชัย"ซัด"ใจแคบ-น่ารังเกียจ"ประวิงเวลาแก้ไข รธน.

Advertisement

"สมชัย" อัดยับ "ส.ว.-ผู้มีอำนาจ" ใจแคบน่ารังเกียจ ประวิงเวลาส่งศาล รธน.ตีความ สสร.

แฉ"ครู"หัวร้อนด่ากราด นร."ไพร่สถุลสกุลต่ำ"

ยอดโควิดรายใหม่ 157 ราย
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า พฤติกรรมที่น่ารังเกียจและตอกย้ำความคับแคบเห็นแก่ตัวของฝ่ายผู้มีอำนาจ การลงมติของรัฐสภาเมื่อวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 ในประเด็นการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ให้มีการตั้ง สสร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจากประชาชนโดยตรงนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยมีเสียงเห็นชอบ 366 เสียงที่มาจากพรรคพลังประชารัฐ 113 คน จาก ส.ว.230 คน ส่วนที่เหลือจากพรรคเล็กที่เข้าร่วมรัฐบาล สะท้อนให้เห็นความไม่จริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ได้สร้างปัญหาให้กับการเมืองไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้อำนาจแต่งตั้ง ส.ว.250 คนมาค้ำจุนบัลลังก์ผู้มีอำนาจ การออกแบบการเลือกตั้งบัตรใบเดียวและคำนวณ ส.ส.ปัดเศษแบบค้านสายตาประชาชน การกำหนดคุณสมบัติและสรรหาองค์กรอิสระที่ได้เพียงอดีตข้าราชการประจำระดับสูงมาดำรงตำแหน่งแต่ขาดความรอบรู้และไร้ประสิทธิภาพมาปฏิบัติหน้าที่ และยังมีพฤติกรรมเอนเอียงในสายตาของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งการให้มียุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศที่เหลวไหล ไร้ความคืบหน้าและกลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ


อดีต กกต. ระบุอีกว่า ความพยายามในการดึงรั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรักษาอำนาจของฝ่ายตนให้ยาวนานที่สุดนั้น กระทำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนับแต่ใช้เวลากว่า 8 เดือน นับแต่เดือนธันวาคม 2562 ในการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่มี นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน มีรายงานหนากว่า 600 หน้า ให้เห็นทุกแง่มุมที่เป็นปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จากนั้นในเดือนกันยายน 2563 ก็มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายต่างๆ เสนอมารวม 6 ฉบับ จนนำไปสู่การลงมติรับร่างของรัฐบาลและฝ่ายค้านในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2563 และตั้งกรรมาธิการอีก 45 คนจาก 2 ฝ่าย คือ จาก ส.ส.จำนวน 30 คน และจาก ส.ว.15 คน เพื่อพิจารณาการแปรญัตติในวาระสอง ไม่ทันที่ข่าวน่ายินดีที่กรรมาธิการชุดดังกล่าวแถลงถึงการเห็นด้วยกับแนวคิดให้มี สสร.จากการเลือกตั้งทั้ง 200 คนจะซาลง การลงมติของรัฐสภาโดยใช้เสียงข้างมากจาก ส.ว.รวมกับเสียงของ ส.ส.จากพลังประชารัฐ รวม 366 เสียง เพื่อส่งตีความว่าการตั้ง สสร.จะทำได้หรือไม่ก็เกิดขึ้น


นายสมชัย ยังระบุอีกว่า เสียงของพลังประชารัฐที่เป็นเอกภาพ สะท้อนถึงความต้องการของพรรคหลักในรัฐบาลยังเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ยาก แต่การที่ ส.ว.250 คนที่ควรจะเป็นอิสระทางความคิด กลับมีการลงมติอย่างพร้อมเพียง 230 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง และขาดประชุมไม่มาลงคะแนน 13 เสียง ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าวุฒิสภาชุดนี้มีความเป็นอิสระหรือแนบแน่นกับผู้มีอำนาจที่แต่งตั้งเขามากับมือ ถึงขนาดสั่งการใดๆ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันได้ราวกับพลทหารที่อยู่ในแถว พฤติกรรมไม่จริงใจต่อการประวิงเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยการตั้งกรรมาธิการชุดแล้วชุดเล่า และยังอาศัยเสียงของวุฒิสภาในการลากจูงการลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญหยุดชะงัก ถือเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจและตอกย้ำให้เห็นความคับแคบเห็นแก่ตัวของผู้มีอำนาจที่ประชาชนคงถือว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ไม่อาจให้เขาตีสองหน้าหลอกลวงไปวันๆ ต่อไป หากหนทางแก้รัฐธรรมนูญในสภาที่ประชาชนยอมอดทนรอ ไม่ใช่หนทางที่ประชาชนเห็นว่าเป็นทางที่ประสบความสำเร็จได้ เขาก็จะหมดศรัทธาและเลิกที่จะพึ่งหนทางดังกล่าว รอดูได้เลยไฟที่ใกล้มอดจะลุกโชนใหม่