อังกฤษดับจากโควิด-19 เกิน 100,000 คน

2021-01-27 07:50:48

อังกฤษดับจากโควิด-19 เกิน 100,000 คน

Advertisement


จำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ในอังกฤษ ทะลุ 100,000 คนแล้ว ส่วนรัฐบาลเร่งแจกจ่ายและฉีดวัคซีนเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส

ในเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว รัฐบาลอังกฤษ แถลงว่า มีความหวังว่าประเทศจะสามารถจำกัดจำนวนผู้เสียชีวิตจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ให้อยู่ที่ 20,000 คนได้ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายมืดมัวที่ตั้งไว้ เวลาล่วงเลยมา 10 เดือน นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ แถลงด้วยความซึมเศร้าในวันอังคาร ประกาศว่า ขณะนี้ อังกฤษมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 มากกว่า 100,000 คนแล้ว ซึ่งเขาบอกว่า “เป็นสถิติที่น่าตกใจ” ขณะที่รัฐบาลเองก็พยายามอย่างหนักในการเร่งแจกจ่ายและฉีดวัคซีน และควบคุมการระบาดของไวรัสโควิดกลายพันธุ์ รัฐบาลของเขาทำทุกสิ่งอย่างที่สามารถทำได้เพื่อลดการสูญเสียชีวิตและลดความทุกข์ยากจากไวรัสระบาด



อังกฤษ หนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบเลวร้ายที่สุด มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดสูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก และถือว่าสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบสัดส่วนต่อหัวประชากร 100,000 คน จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ และเฉพาะในวันอังคารวันเดียว ก็มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1,631 คนและติดเชื้อ 20,089 คน

รวมยอดผู้เสียชีวิตจากโควิดในอังกฤษ จนถึงเช้าวันพุธ อยู่ที่ 100,358 คน สูงกว่าการเสียชีวิตของพลเรือนในสงครามโลกครั้งที่ 2 และสูงกว่า 2 เท่าของผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ “โจมตีสายฟ้าแลบ” หรือที่เรียกว่า “บลิตซ์” (Blitz) ซึ่งกองทัพนาซีของเยอรมนี ทิ้งระเบิดถล่มเกือบทุกเมืองทั้งใหญ่และเล็กในยูเคอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่องในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2483 ถึงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 43,000 คน บ้านเรือนถูกทำลายมากกว่าหนึ่งล้านหลัง แม้ว่าจำนวนประชากรทั้งหมดจะน้องกว่าขณะนี้ ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิต อยู่ที่มากกว่า 3.7 ล้านคนแล้ว



จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม ผลักให้โรงพยาบาลต่าง ๆ เข้าใกล้วิกฤต เจ้าหน้าที่ห้องผู้ป่วยหนัก หรือไอซียู ต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตภายใต้ความกดดันที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

โรงเรียนต่าง ๆ ต้องปิดการเรียนการสอนและหันมาเรียนทางออนไลน์ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนและการทำงานของพ่อแม่ผู้ปกครองก็เช่นกัน ร้านค้าทุกแห่งยกเว้นร้านที่จำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการยังชีพ ปิดหมด เฉพาะในอังกฤษ การสังสรรค์กันทางสังคม แม้แต่กลางแจ้ง ก็ถูกห้าม ยกเว้นการออกกำลังการเท่านั้น

ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อังกฤษกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติการใช้ฉุกเฉินวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ เริ่มภารกิจฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงทุกคนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่อ่อนแอ, เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับไวรัสและเจ้าหน้าที่สวัสดิการสังคมและเจ้าหน้าที่ที่บ้านพักคนชรา ให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งจนถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา มีผู้ได้รับวัคซีนโดสแรกแล้ว 6,853,327 คน และโดสที่ 2 จำนวน 472,446 คน

รัฐบาลอังกฤษ แถลงว่า อัตราการฉีดวัคซีนและความสำเร็จในการฉีดวัคซีน เป็นกุญแจสำคัญที่จะสามารถผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มได้ ขณะที่อังกฤษต้องต่อสู้กับตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในโลกเมื่อเทียบต่อหัวประชากร 100,000 คน จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์



นายจอห์นสัน กล่าวอีกว่า เขาไม่ต้องการให้ประเทศในสหภาพยุโรป หรืออียู จำกัดการจัดส่งวัคซีนโควิดมาให้อังกฤษ โดยบอกว่า บทเรียนจากการระบาดของไวรัส คือประเทศต่าง ๆ ต้องทำงานร่วมกัน และเขายังแสดงความมั่นใจว่าจะสามารถจัดหาวัคซีนโควิดได้เพียงพอ

แต่การปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ในการสำรวจพฤติกรรมและความรู้สึกของประชาชนเกี่ยวกับโควิดในสหราชอาณาจักร โดยมหาวิทยาลัย ยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ ลอนดอน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 38 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า พวกเขาไม่แยกกักตัวหลังแสดงอาการของโรคตามระยะเวลา 10 วันเต็มตามคำแนะนำ และประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ กล่าวว่า พวกเขาไม่ได้แยกตัวเลย และ 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่อายุ 60 ปีขึ้นใหม่ ที่รายงานว่า แสดงอาการของโรคอย่างน้อย 1 ครั้ง กล่าวว่า พวกเขาไม่เคยใส่ใจในการไปขอตรวจร่างกายหาเชื้อ

นายแพทย์ ไดซี แฟนคูร์ ผู้นำในการศึกษาครั้งนี้ ระบุในแถลงการณ์ฉบับหนึ่งว่า จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่ไม่ยอมกักตัว เป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง