อาการป่วยทางจิตเป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติทางความคิด การรับรู้ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และหลายครั้งนำมาซึ่งผลเสียที่พบบ่อยในสังคม เช่น อาการหวาดระแวง อาจส่งผลให้มีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายตนเอง หรือผู้อื่น ทำให้ผู้ป่วยด้วยโรคทางจิตเวชถูกมองเป็นคนน่ากลัว หรือถูกอคติจากสังคม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นโรคดังกล่าวสามารถบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ เริ่มต้นที่คนในครอบครัวผู้ป่วยเอง
อาการป่วยทางจิตเวชเกิดจากการที่สารเคมีสื่อประสาทในสมองทำงานผิดปกติ จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้สารเสพติด กรรมพันธุ์ การติดเชื้อ ส่งผลให้สารเคมีในสมองเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมการแสดงออก เนื่องจากสารเคมีที่เปลี่ยนแปลงในสมองนั้นส่งผลทางด้านความคิด การรับรู้ และการใช้ชีวิตในสังคม
• ผลกระทบต่อความคิดคือผู้ป่วยจะมีอาการหลงผิด หรือคิดว่าจะมีคนมาทำร้ายทั้งที่ไม่มี
• ผลกระทบต่อการรับรู้ต่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทั้ง ๆ ที่ไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น แต่สมองรับรู้ขึ้นมาเป็นความผิดปกติ เช่น อาการหูแว่ว ซึ่งพบบ่อยในโรคจิตเภท หรือ อาการเห็นภาพหลอน ที่พบบ่อยในกลุ่มอาการทางจิตที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบประสาททำงานผิดปกติ
• ผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคม คือผู้ป่วยจะไม่สามารถทำงานได้ ไม่มีสมาธิ เนื่องจากความคิด และการรับรู้ที่ผิดปกติรบกวน
วิธีการสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างว่าเข้าข่ายผู้ป่วยอาการทางจิตเวชหรือไม่นั้น คือ ดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด อารมณ์และพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากเดิม โดยอาจจะมีความเครียดนำมาก่อน ที่สำคัญถ้าอาการเหล่านั้นส่งผลให้ไม่สามารถเรียนหนังสือ ทำงานได้ตามปกติ ตลอดจากการดูแลตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวัน หรือมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง หรือผู้อื่น ก็ควรจะรีบมาพบแพทย์
การบำบัดรักษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ การบำบัดโดยการใช้ยาและไม่ใช้ยา การใช้ยาคือการปรับสารเคมีในสมองที่เป็นสาเหตุของโรคให้มีความสมดุล หรือรักษาอาการป่วยทางร่างกายที่ทำให้เกิดโรคทางจิตเวช เช่น โรคติดเชื้อในสมอง ส่วนการรักษาโดยไม่ใช้ยา จะเน้นเรื่องการดูแลจิตใจของตนเอง ไม่มุ่งเน้นที่จะเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เพราะอาจทำได้ยากกว่า สามารถปรับตัวกับปัญหาต่าง ๆ มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความคาดหวังที่เกิดขึ้น และปรับความคาดหวังให้ตรงกับความเป็นจริง
การรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยด้วยโรคทางจิตเวช เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ มีดังนี้
1. การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก เพื่อรักษาได้เร็ว และต่อเนื่องโดยเฉพาะการรับประทานซึ่งควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ ไม่ควรปรับยาหรือหยุดยาเอง เนื่องจากจะทำให้โรคกลับเป็นซ้ำได้
2. ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การใช้สารเสพติด
3. ให้ผู้ป่วยได้ทำกิจกรรมที่ให้คุณค่ากับอารมณ์ ความรู้สึก เช่น งานอดิเรก กิจกรรมทางศาสนา
4. ส่งเสริมความเข้าใจในตัวโรค และการดูแลผู้ป่วย กับคนในครอบครัว และสังคม เพราะคนในครอบครัวคือส่วนสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ควรทำความเข้าใจ ไม่มองว่าผู้ป่วยเป็นบุคคลอันตราย หรือแสดงอาการหวาดกลัวต่อผู้ป่วย หลีกเลี่ยงการพูดจาด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อผู้ป่วย เพราะอาจส่งผลให้อาการมีความรุนแรงมากขึ้น การเปิดใจรับฟัง พูดคุย รวมถึงให้กำลังใจผู้ป่วยมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติต่อไป
ผศ. พญ.ดาวชมพู นาคะวิโร
ภาคจิตเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล