"หมอเอก"จี้รัฐจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้เพียงพอสำหรับทุกคน ต้องให้ประชากรมีภูมิต้านทาน 80 เปอร์เซ็นต์
เมื่อวันที่ 6 ม.ค. นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย เขต 1 พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เเละการจัดหาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในอนาคต ว่า รู้สึกหงุดหงิดมากกับการจัดการการระบาดของโควิด-19 โดยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งสิ่งที่ทำมาตลอดได้สรุปให้เห็นหลักคิดหลักการทำงานชัดเจนว่าไม่เคยให้ค่าประชาชนและไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเองและพวกพ้อง ในเรื่องของกระบวนการที่สับสนอลหม่านนี้ตนได้เขียนถึงมาหลายรอบแล้ว วันนี้จะเขียนถึงความมั่วซั่วในเรื่องวัคซีนกัน จากที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่ารัฐบาลมีความล่าช้าเรื่องวัคซีนกว่าประเทศเพื่อนบ้านจนกระทั่งอยู่ดีๆ ก็มีการเสนอข่าวว่าในเดือน ก.พ.ประเทศเราจะมีวัคซีนนำเข้าจากจีนของบริษัท Sinovac ซึ่งเหมือนเป็นข่าวดี แต่เมื่อช่วงเดือน พ.ย. คณะกรรมาธิการสาธารณสุขได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเรื่องความคืบหน้าของการได้วัคซีนมาฉีดให้ประชาชนไทย ในวันนั้นตลอดการชี้แจงไม่มีการพูดถึงการจะซื้อวัคซีนจากจีนเลย และยิ่งกว่านั้นเมื่อพยายามหาข้อมูลทางวิชาการของวัคซีนตัวนี้พบว่าเจอแค่ผลการทดลองในเฟส 1 และ 2 แต่ยังไม่มีผลการทดลองในเฟส 3 ซึ่งเป็นการทดลองในประชากรกลุ่มใหญ่ที่เรียกว่า Randomized Controlled Trial ออกมาในฐานข้อมูลของวารสารทางการแพทย์เลย มีแต่การนำเสนอวิธีการศึกษาที่ไม่มีผลการศึกษาเท่านั้น การนำวัคซีนที่ยังไม่มีผลการวิจัยเข้ามาแบบนี้ต้องไปดูขั้นตอนการอนุมัติของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารเเละยา (อย.) ว่ามีการอนุมัติอย่างไร จนมีเสียงลือมาถึงหูผมว่าบางทีวัคซีนตัวนี้อาจมาจากบริษัททุนใหญ่บางบริษัทก็ได้
นพ.เอกภพ ตั้งข้อสังเกตว่า ตามการเสนอข่าวของหลายสำนักข่าวจะพบว่าเราจะได้รับวัคซีนมาฉีดทีละชุดๆ ในเวลาห่างกันพอสมควร และที่ร้ายไปกว่านั้นคือจำนวนประชากรที่จะได้รับวัคซีนมีรวมแล้วก็แค่ประมาณกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งประเทศเท่านั้น โดยทั้งที่ตามหลักการแล้ว หากจะหยุดการระบาดของโคโรนาไวรัสตัวนี้ได้ ต้องให้ประชากรมีภูมิต้านทานประมาณถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร ดังนั้นการได้วัคซีนมาเพียง 20 เปอร์เซ็นต์อาจไม่เพียงพอต่อการหยุดการระบาดได้ โดยข้อมูลในปัจจุบันเรายังไม่รู้ว่าหลังฉีดวัคซีนไปแล้วร่างกายจะคงมีภูมิต้านทานต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่และวัคซีนของแต่ละยี่ห้อให้ระยะเวลาคุ้มกันได้นานต่างกันมั้ย ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดของการจัดหาวัคซีนมาก็ควรจะจัดหาวัคซีนเพื่อทุกคน และกระจายไปหลากหลายยี่ห้อ หลากหลายเทคโนโลยี รวมทั้งควรมีการระดมฉีดในคราวเดียวกันทั่วประเทศ และเราต้องมาดูว่าหากไม่สามารถจัดหาวัคซีนมาฉีดพร้อมๆ กันได้จะฉีดให้กลุ่มไหนก่อน แน่นอนว่ากลุ่มเสี่ยงที่สุดคือบุคลากรสาธารณสุขควรเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับการป้องกันเพื่อให้เขายังคงทำงานต่อได้อย่างปลอดภัย แล้วต่อไปเราจะเลือกกลุ่มไหนในสัดส่วนอย่างไรระหว่างกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยหนัก หรือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อคือคนวัยทำงาน ดังนั้นนอกจากการที่ต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอสำหรับทุกคนแล้ว รัฐบาลยังต้องวางแผนการฉีดวัคซีนที่ใช้หลักการทางวิชาการมาสนับสนุนด้วย
นพ.เอกภพ กล่าวด้วยว่า หากเรารอให้ประเทศอื่นฉีดวัคซีนให้ประชากรจนเขาจัดการการระบาดได้แล้ว ประเทศเหล่านั้นจะเริ่มเดินทางไปมาหาสู่กันได้เพราะประเทศเขาถือว่าสิ้นสุดการระบาดแล้ว ประเทศเราที่ฉีดวัคซีนให้ประชากรจนประกาศสิ้นสุดการระบาดได้ช้าก็จะเสียโอกาสในการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่อัดอั้นมานานได้ช้าด้วย โอกาสฟื้นเศรษฐกิจจากเงินต่างประเทศของเราก็ช้าไป