"ชวน"แถลงมติวิป 3 ฝ่าย หัวหน้าพรรคการเมือง มีมติเลื่อนประชุมสภาฯ ออกไป 2 สัปดาห์หลังโควิดระบาดหนัก ด้าน “เต้” เปิดศึกน้ำลาย “ไพบูลย์”
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 4 ม.ค. ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานประชุมวิป 3 ฝ่าย โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสมาชิกวุฒิสภา นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานวิปรัฐบาล นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน รวมถึงหัวหน้าพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภาฯ เพื่อหารือเกี่ยวกับการเลื่อนประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือไม่ หลังจากที่ประชุมได้แสดงความคิดเห็นมานานกว่า 1 ชม. ส่วนใหญ่อภิปรายเห็นควรเลื่อนการประชุมสภาฯออกไปก่อน ยกเว้นเพียงแต่พรรคก้าวไกลที่ยืนยันให้เปิดการประชุมสภาฯ ตามปกติ เพื่อให้เป็นตัวอย่างที่ดีต่อประชาชนในการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา
ขณะเดียวกันในที่ประชุมได้เกิดสงครามน้ำลายขึ้น ระหว่างนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคไทยศิวิไลย์ กับนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยนายไพบูลย์เห็นว่านายมงคลกิตติ์อภิปรายยืดเยื้อจึงประท้วงว่าพูดนอกประเด็น แต่นายมงคลกิตติ์กลับพูดสวนนายไพบูลย์ว่าให้เงียบปากไป
จากนั้นเวลา 17.25 น. นายชวน แถลงว่า ที่ประชุมมีความเห็นให้งดการประชุมสภาฯออกไปก่อน สืบเนื่องด้วยเหตุผลกรณีการแพร่ระบาดโควิด-19 ดังนั้นการประชุมสภาฯวันที่ 6-8 ม.ค. จึงมีมติไม่เอกฉันท์สมควรให้งดการประชุม แต่ก็มีข้อเสนอว่าจะงดการประชุมได้แก่ 1.งดการประชุม 4 สัปดาห์ และ 2.งดการประชุม 2 สัปดาห์ โดยที่ประชุมมีการเชิญอธิบดีกรมควบคุมโรคเข้ามาให้ข้อมูลว่าขณะนี้สถานการณ์ภายใน 2 สัปดาห์น่าจะยังมีปัญหาอยู่ จึงคิดว่าเงื่อนไขความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และสมาชิกรัฐสภาหากเปิดการประชุมจะทำให้รัฐสภากลายเป็นชุมชนที่หนาแน่นและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จึงมีความเห็นให้หยุดการประชุมไปก่อน 2 สัปดาห์ เพื่อรอดูสถานการณ์ แต่ถ้าภายใน 1 สัปดาห์สถานการณ์ดีขึ้นก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่หาก 2 สัปดาห์แล้วสถานการณ์ไม่ดีขึ้นก็ต้องขอความร่วมมือในเรื่องการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) และการประชุมย่อยต่างๆ สามารถทำได้ แต่ห้ามไม่ให้นำคนนอกเข้ามา ทั้งนี้เป็นการตัดสินใจของวิป 3 ฝ่ายและตัวแทนหัวหน้าพรรคการเมืองทั้งหมด อย่างไรก็ตามในส่วนของตนนั้นจะเดินทางมาทำงานตามปกติที่รัฐสภาทุกวัน แต่จะไม่มีการประชุมที่มีคนจำนวนมาก