สหราชอาณาจักรเผชิญกับการระบาดรุนแรง ของไวรัสโควิด-19 จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งสูงเกิน 50,000 คน 3 วันติดต่อกัน จนถึงวันอาทิตย์ เพิ่มความตึงเครียดให้กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะระบบสาธารณสุข
แถลงการณ์ของกระทรวงสาธารณสุขสหราชอาณาจักร เมื่อวันอาทิตย์ (3 ม.ค.) ยืนยันการตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ อีก 54,990 คน ในระยะ 24 ชั่วโมงจนถึงวันที่ 3 ม.ค. ลดลงจาก 57,725 คนเมื่อวันเสาร์ แต่เป็นการติดเชื้อเกิน 50,000 คน 3 วันติดต่อกัน ตัวเลขล่าสุดทำให้จำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 2,654,779 คน และเมื่อวันอาทิตย์ มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้ออีก 454 คน ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตสะสม เพิ่มขึ้นเป็น 75,024 คน
ทางด้านนายแพทย์ แอนดรูว์ กอดดาร์ด ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอน กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ สร้างความวิตกและหนักใจให้กับบุคลากรสาธารณสุขเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 ซึ่งแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าเดิมถึง 70 % และที่สำคัญคือ ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ มักไม่ปรากฏอาการ หรือมีอาการแต่เบาบางมาก
ขณะเดียวกัน สมาคมผู้อำนวยการแห่งชาติ ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานครูของสหราชอาณาจักร ได้ เรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน และกระทรวงศึกษาธิการ ให้ประกาศเลื่อนกำหนดการเปิดการเรียนการสอนในโรงเรียน จากที่ประกาศในวันจันทร์ที่ 4 ม.ค. ออกไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงรุนแรง
ในวันเดียวกันนี้ นายจอห์นสันกล่าวให้สัมภาษณ์สื่อ ในกรุงลอนดอน ว่า รัฐบาลจะเริ่มฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทแอสตรา เซเนกา ที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด จำนวน 530,000 ชุด ให้ประชาชน ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. และคาดหวังว่า จะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้ “หลายสิบล้านคน” ภายในไม่เกิน 3 เดือนข้างหน้า.