"ศรีสุวรรณ"บุกพบอธิบดีกรมอุทยานฯแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนอุทยานเขาแหลม
เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้าพบหารือกับนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อเข้าร้องเรียนและหารือแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาว อ.สังขละบุรีและ อ.ทองผาภูมิ กรณีปัญหาการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับซ้อนกับพื้นที่นิคมสหกรณ์สังขละบุรีและทองผาภูมิ ทั้งนี้สืบเนื่องจากความเดือดร้อนและเสียหาย อันเนื่องมาจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ออกประกาศให้อุทยานแห่งชาติเขาแหลมเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2534 ซึ่งพื้นที่บางส่วนทับซ้อนกับที่ดินของนิคมสหกรณ์ทองผาภูมิและสังขละบุรีกว่า 367,000 ไร่ โดยชาวบ้านได้ยึดถือ ครอบครองและทำกินพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสหกรณ์ท้องที่ อ.ทองภาภูมิและ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี พ.ศ.2518 ต่อมาเมื่อมี การประกาศตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ที่มีพื้นที่กว่า 935,625 ไร่ ซึ่งบางส่วนของพื้นที่ดังกล่าวทับซ้อนกับพื้นที่ของนิคมสหกรณ์ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบหลายราย โดยถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯจับกุม ดำเนินคดีไปเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ชาวบ้านยึดถือ ครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ สำหรับการทับซ้อนของพื้นที่ดังกล่าว เป็นปัญหาหมักหมมมานาน โดยประชาชนในพื้นที่ถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ซึ่งอ้างสิทธิเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ในความเป็นจริงทางนิคมสหกรณ์ฯ ได้จัดตั้ง และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษามาตั้งแต่ปี 2518 หลังจากนั้นทางอุทยานฯ จึงได้มาประกาศทับในปี 2534 ซึ่งมาประกาศภายหลัง ทับซ้อนแนวเขตของนิคมสหกรณ์ฯ จึงต้องมาร่วมกันแก้ไขปัญหา และหาทางออกร่วมกัน
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ข้อสรุปในการหารือในวันนี้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ยืนยันตกลงร่วมกันว่า 1)จะสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมชะลอการจับกุม ดำเนินคดีกับชาวบ้านในพื้นที่ทับซ้อนออกไปก่อน จนกว่าจะร่วมกันแก้ไขปัญหาเสร็จ แต่ต้องไม่มีการบุกรุกแผ้วถางเพิ่มนอกพื้นที่ทับซ้อน 2)จะแต่งตั้งคณะทำงานที่มีตัวแทนอุทยานฯ เจ้าหน้าที่ภาครัฐในพื้นที่และตัวแทนชาวบ้าน เขามาเป็นคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและลงพื้นที่พิสูจน์สิทธิ์เป็นรายแปลง ตามบัญชีรายชื่อชาวบ้านที่สมาคมฯมอบให้อธิบดีเพื่อสั่งการต่อไป ซึ่งการหารือจนได้ข้อสรุปดังกล่าวเป็นแนวทางที่ดีที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นที่ยืดเยื่อมาเกือบ 30 ปี