นายกรัฐมนตรีนำ ครม.เยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อ พร้อมทดลองนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดงบางซื่อ-รังสิต ตั้งเป้าระบบรางไทยใหญ่เป็นศูนย์กลางอาเซียน มั่นใจเทียบเท่ารถไฟชั้นนำอย่างอังกฤษ-ฝรั่งเศสได้
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว,กลาโหม พร้อม ครม. และคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่เยี่ยมชมสถานีกลางบางซื่อ รับฟังแผนการพัฒนาที่ดินบริเวณรอบสถานีกลางบางซื่อ และทดลองเดินขบวนรถไฟฟ้าสายสีแดง ระหว่างสถานีกลางบางซื่อ - สถานีรังสิต โดยสายสีแดงมีระยะทางรวม 26.3 กิโลเมตร แบ่งเป็น 10 สถานี ก่อสร้างเป็นทางยกระดับจากบางซื่อถึงดอนเมือง ระยะทาง 19.2 กิโลเมตร และลดระดับเป็นระดับพื้นจากสถานีดอนเมือง ถึงสถานีรังสิต ระยะทาง 7.1 กิโลเมตร ซึ่งสถานีกลางบางซื่อ เป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการขนส่งทางรางที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยเป็นศูนย์กลางการเดินทางระบบราง ทำให้เกิดการพัฒนา กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยว รวมถึงขยายตัวของเมือง พื้นที่เศรษฐกิจตลอดแนวเส้นทาง โดยเฉพาะย่านบางซื่อของการรถไฟที่จะพัฒนาพื้นที่ ทั้งนี้ ในระยะยาวจะขับเคลื่อนให้เป็นศูนย์กลางคมนาคมและการขนส่งทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ขณะเดียวกัน จะเป็นการแก้ปัญหาจราจรทั้งระบบ เพราะจะเชื่อมต่อการเดินทางจากใจกลาง กทม.สู่ปริมณฑลและเชื่อมโยงไปทุกภูมิภาคของประเทศ มีมาตรฐานเทียบเท่าสถานีรถไฟชั้นนำของโลกและสามารถจอดรถยนต์ได้ถึง 1,624 คัน โดยขณะนี้มีความก้าวหน้าในการก่อสร้าง 89.10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทดสอบการเดินรถเสมือนจริงในเดือน มี.ค.2564 เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการเดือน ก.ค.2564 และเปิดบริการเต็มรูปแบบ พ.ย.2564
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีความยินดีที่ได้นำ ครม.มาเยี่ยมชมความพร้อมของสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งเป็นระบบการขนส่งทางรางที่มีการพัฒนาเพื่อลดความแออัดบนท้องถนน ยกระดับคุณภาพชีวิตชาว กทม.และปริมณฑล ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้ทุกภูมิภาค และโครงการนี้ ก็เป็นหนึ่งในโครงการตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยรัฐบาลได้ส่งเสริมให้ระบบทางรางเป็นเส้นทางสายใหม่ และกำลังพัฒนาเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของอาเซียน พร้อมยืนยันว่า สถานีกลางบางซื่อไม่ได้ด้อยกว่ารถไฟชั้นนำของโลกทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ย้ำ ต้องให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะขึ้นรถไฟ นายกได้ชูนาฬิกาที่ระลึก พร้อมกล่าวกับผู้มาร่วมงานว่า “นาฬิกาต้องเดินทุกเรือน เหมือนกับรัฐบาลขับเคลื่อนประเทศเดินไปข้างหน้า”