สธ.แจงกรณี "บิ๊กเมาน์เทน" สวมหน้ากากไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

2020-12-14 17:55:19

สธ.แจงกรณี "บิ๊กเมาน์เทน" สวมหน้ากากไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

Advertisement

สธ.แจงกรณี "บิ๊กเมาน์เทน" ตอนเข้างานมีการสวมหน้ากากจริง แต่พอเข้าไปสวมหน้ากากไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ 

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวถึงระงับจัดงานคอนเสิร์ตบิ๊กเมาน์เทนเมื่อคืนวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า ยืนยันว่าเราไม่ได้ห้ามไม่ให้มีการจัดกิจกรรมใดๆ รวมถึงคอนเสิร์ต เพราะต้องการให้ประชาชนมีการใช้ชีวิตที่เป็นปกติที่สุด แต่ต้องเป็นความปกติรูปแบบใหม่ (New Normal) คือเว้นระยะห่าง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี  ทั้งนี้ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ กำหนดว่าการจัดงานต่างๆ จะต้องให้มีมาตรการ ตามที่ภาครัฐกำหนด ดูแผนการจัดงานของภาคเอกชน เชื่อว่าเป็นความเหนื่อยยากทั้ง 2 ฝ่าย แต่พอถึงหน้างานจริงๆ แล้วคนนับหมื่นมาอยู่ด้วยกันความร่วมมือที่จะให้เป็นไปตามแผนของผู้จัดงานและภาครัฐที่วางเอาไว้นั้นคือความร่วมมือของประชาชน หลายครั้ง ที่มีความกังวลใจว่าทำไมถึงต้องคิดกันละเอียดมากเช่นการเปิดให้เข้าชมกีฬาที่ถึงแม้จะเป็นยิมเนเซียมที่สามารถบรรจุคนได้ 70,000 คน แต่เปิดให้เข้าแค่ประมาณ 4,000 คน เพราะตามข้อกำหนดให้มีทางเข้าแค่ 1 ทาง ถ้าให้มาเต็มจำนวนก็จะเกิดความแออัดที่ประตูทางเข้า ดังนั้นการจัดงานที่มีคนมารวมกันนับพัน นับหมื่นคนนั้นจึงต้องการความร่วมมือกันทั้ง 3 ฝ่าย คือภาครัฐ ผู้จัดงาน และประชาชน จะขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้  ที่สำคัญที่เรากังวลใจและกรมควบคุมโรคก็เน้นย้ำเสมอคือเรื่องของแอลกอฮอล์ เมื่อมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้บรรยากาศของการรับฟังกัน เชื่อฟังกันจะทำได้ยากมากขึ้น การปฏิบัติตามมาตรการที่คุยกันไว้ทำได้ยาก พูดง่ายๆ คือพอเหล้าเข้าปากการควบคุมพฤติกรรมอารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นนี่เป็นความยากทั้งของผู้จัดและภาครัฐซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเห็นใจอย่างไรก็ตามวันนี้ต้องเน้นย้ำภาคประชาชนในการสวมหน้ากากอนามัยเว้นระยะห่างและล้างมือบ่อยๆ สิ่งที่เราพูดกันมาร่วมปีนี้ยังต้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้น

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า  กรณีบิ๊กเมาน์เทนจากการประเมินพบว่าความเสี่ยงเพิ่มขึ้นพรวด เพราะมีคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนมาอยู่ร่วมกันจำนวนมาก และจากภาพที่ปรากฏพบว่าตอนเข้างานมีการสวมหน้ากากก็จริง แต่พอเข้าไปในงานแล้วพบว่าสวมหน้ากากไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้จะเป็นการจัดงานกลางแจ้งที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าการจัดงานในห้องที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก แต่การที่คนจำนวนถึง 3 หมื่นคนมาอยู่ร่วมก็เพิ่มความเสี่ยง โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันแบบแออัดในโซนหน้าเวที ไม่มีการสวมหน้ากากอนามัยและมีการตะโกนร้องเพลง โอกาสที่คนติดโควิด-19 หลุดเข้าไปสัก 1 รายเข้าไปอยู่ร่วมกันโอกาสแพร่เชื้อไปคนอื่นก็จะมากขึ้น  ก่อนที่จะจัดงานผู้จัดได้มีการเสนอแผนที่มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 กับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแล้ว ซึ่งเมื่อถึงวันจัดงานจริงก็สามารถปฏิบัติตามได้ค่อนข้างดี แต่การบริหาความเสี่ยงหน้างานทำได้ไม่ดี เช่น ผู้ร่วมงานไม่ใส่หน้ากาอนามัยตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่ความผิดของผู้จัดงาน และการเว้นระยะห่าง หากมีการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาและเว้นระยะห่างได้ดี ความปลอดภัยก็จะมากขึ้น ซึ่งหากมีคนติดเชื้อขึ้นมากจริงๆ โดยปกติจะต้องติดตามผู้สัมผัสอีก 20 -40 คน แต่หากเป็นคอนเสิร์ตที่มีคนมาก ผู้ติดเชื้อ 1 รายจะต้องติดตามไปอีกราว 100 คน