"อ.ปริญญา"ชี้ชัด"บิ๊กตูู่"คือต้นตอปัญหาความขัดแย้ง

2020-12-11 16:10:44

"อ.ปริญญา"ชี้ชัด"บิ๊กตูู่"คือต้นตอปัญหาความขัดแย้ง

Advertisement

"อ.ปริญญา" ชี้ชัด "บิ๊กตูู่" คือ ต้นตอของปัญหาความขัดแย้งจนถึงขั้นลุกลามไปถึง "สถาบัน"


เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์บทความ เรื่อง The King Can Do No Wrong ว่า หลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กับปัญหาที่เกิดจาก พล.อ.ประยุทธ์ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆ มา บัญญัติเรื่องระบอบการปกครองของประเทศไว้ที่มาตรา 2 ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แต่ดูเหมือนว่ายังมีคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีท่านปัจจุบัน ที่อาจจะไม่เข้าใจหลัก The King Can Do No Wrong ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ Constitutional Monarchy และไปสับสนปนเปกับระบอบราชาธิปไตย จึงทำให้เกิดปัญหาในขณะนี้


1.ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อใด และทำไมวันที่10 ธันวาคม จึงเป็นวันรัฐธรรมนูญ ถ้าถามว่าทำไมวันที่ 10 ธันวาคมจึงเป็นวันรัฐธรรมนูญ แทบทุกคนจะตอบว่า เพราะเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก ซึ่งเป็นคำตอบที่ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ซึ่งประกาศใช้ 3 วันหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองคือวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ซึ่งมีคำปรารภและมาตรา 1 ดังต่อไปนี้ "โดยที่คณะราษฎรได้ขอร้องให้อยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินเพื่อบ้านเมืองจะได้เจริญขึ้น และโดยที่ได้ทรงยอมรับตามคำขอร้องของคณะราษฎร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยมาตราต่อไปนี้ มาตรา 1 อำนาจสูงสุดของประเทศนั้น เป็นของราษฏรทั้งหลาย” ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงลงพระปรมาภิไธยท้ายพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม 2475 ฉบับนี้ โดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในทางนิตินัยจึงมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจสูงสุดอันเป็นของพระองค์มาแต่เดิมให้กับราษฎร และสถาบันพระมหากษัตริย์ยินยอมที่จะอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ


เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจสูงสุดให้กับราษฎรทั้งหลาย ประเทศไทยจากจากระบอบราชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของพระราชา ก็ได้กลายเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมานับแต่บัดนั้น ความจริงแล้วนายปรีดี พนมยงค์ มิได้ตั้งใจเขียนพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 2475 ให้ใช้เป็นการชั่วคราว แต่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงเติมคำว่าชั่วคราวเข้าไปด้วย อาจทรงเห็นว่าระยะเวลาในการจัดทำสั้นนัก และขอให้นำไปปรับปรุงแล้วจึงนำมาทูลเกล้าใหม่ นายปรีดี จึงนำไปปรับปรุงแก้ไข 5 เดือนต่อมาก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อทรงโปรดเกล้าฯ ก็กลายเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 และด้วยความที่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว อีกทั้งมีการบัญญัติศัพท์คำว่ารัฐธรรมนูญแล้ว จึงมีการกำหนดให้วันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งมีที่มาจากพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 2475 ให้เป็นวันรัฐธรรมนูญ


แม้ว่าพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 2475 จะถูกเติมคำว่าชั่วคราวลงไปแต่มีความสำคัญเป็นที่สุด เพราะเป็นรอยต่อของระบอบราชาธิปไตยกับระบอบประชาธิปไตย จากการลงพระปรมาภิไธยโดยไม่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการแบบราชาธิปไตย หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่ออำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน รัฐธรรมนูญทุกฉบับรวมถึงตัวบทกฎหมาย และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินทั้งหมด ต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการทุกครั้ง เพราะอำนาจสูงสุดของประเทศได้กลายเป็นของปวงชนไปแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงโปรดเกล้าในเรื่องราชการแผ่นดินได้ก็ต่อเมื่อตัวแทนปวงชนได้ทูลเกล้าขึ้นไปเท่านั้น และทำให้ทรงอยู่เหนือการเมืองและความขัดแย้งทางการเมือง นี่เอง คือ หลัก The King Can Do No Wrong คือ ทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง




2. หลัก The King Can Do No Wrong หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไม่อาจทรงกระทำผิด หรือพระมหากษัตริย์ทรงทำอะไรก็ไม่ผิด “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” นั้นบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 3 ประโยคแรก แต่ประโยคที่สองของมาตรา 3 ซึ่งเขียนว่า “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” อาจจะทำให้เกิดความสับสนและไม่เข้าใจว่าประชาชนเป็นแค่เจ้าของ แต่ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแต่ไม่ใช่เจ้าของ หมายความว่าอย่างไร หากจะอธิบายอย่างย่นย่อ การใช้อำนาจอธิปไตยทางรัฐสภาของพระมหากษัตริย์ คือ กฎหมายที่ออกมาจากรัฐสภา มีชื่อว่าพระราชบัญญัติ หรือบัญญัติของพระราชา ต้องให้พระราชาทรงลงพระปรมาภิไธย จึงจะใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ การใช้อำนาจอธิปไตยทางคณะรัฐมนตรี คือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ จึงจะเป็นคณะรัฐมนตรีที่มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ และการใช้อำนาจอธิปไตยทางศาล คือ ผู้พิพากษาและตุลาการมาจากการโปรดเกล้าแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์ จึงจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่างๆ ได้


แต่คำถามคือ หากกฎหมายมาจากพระมหากษัตริย์ คณะรัฐมนตรีมาจากพระมหากษัตริย์ และศาลก็มาจากพระมหากษัตริย์ แล้วระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะแตกต่างจากระบอบราชาธิปไตยอย่างไร คำตอบ คือ สิ่งที่แตกต่างกันโดยพื้นฐานที่สุด คือ ร่างพระราชบัญญัติมาจากการพิจารณาของรัฐสภา (รัฐธรรมนูญ 2560 ม.81) นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฏร (ม.159) โดยตามบทเฉพาะกาลมาจากที่ประชุมของรัฐสภา คือ ให้วุฒิสภาชุดแรกเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฏร (ม.272) ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมมาจากการคัดเลือกของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ม.196) ตุลาการศาลปกครองมาจากการคัดเลือกของคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ม.198) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจากความเห็นชอบของวุฒิสภา (ม.204) องค์กรอิสระก็มาจากความเห็นชอบของวุฒิสภา (ม.217 วรรคสอง) ตามรัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์จึงมิได้ทรงตราพระราชบัญญัติ หรือเลือกนายกรัฐมนตรีเอง หรือเลือกสมาชิกวุฒิสภา ผู้พิพากษา ตุลาการ และองค์กรอิสระหากทรงโปรดเกล้าตามที่ได้มีการทูลเกล้าขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นพระมหากษัตริย์จึงไม่ทรงต้องรับผิดชอบเมื่อกฎหมายมีปัญหา หรือเมื่อนายกรัฐมนตรีบริหารบ้านเมืองไม่ดี หรือถูกประชาชนประท้วง หรือผู้พิพากษา หรือตุลาการตัดสินคดีแล้วผู้คนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม หรือองค์กรอิสระทำหน้าที่แล้วคนไม่เห็นด้วย


นี่คือหลัก The King Can Do No Wrong หรือพระมหากษัตริย์ไม่อาจทรงกระทำความผิด ซึ่งหลักการพื้นฐานในเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ความหมาย คือ ถ้าเป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ทรงโปรดเกล้าต่อเมื่อมีการทูลเกล้าเท่านั้น ดังนั้นคนรับผิดชอบคือผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่ใช้อำนาจในเรื่องนั้น และคนที่ทูลเกล้าไม่ใช่พระมหากษัตริย์ ที่บางคนกล่าวว่า The King Can Do No Wrong หมายความว่า พระมหากษัตริย์ทรงทำอะไรก็ไม่ผิด เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะนั่น คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด มีทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ทำให้ทรงทำอะไรก็ไม่ผิด แม้จะทรงทำผิดก็ไม่ผิด ซึ่งแตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ทรงโปรดเกล้าตามที่มีผู้ทูลเกล้าขึ้นไป พระมหากษัตริย์จึงไม่อาจทรงกระทำผิด เพราะคนรับผิดชอบคือผู้มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและผู้ทูลเกล้า


รัฐธรรมนูญมักจะไม่เขียนว่าใครเป็นผู้ทูลเกล้า แต่จะเขียนว่าใครเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งผู้นั้นเองจะเป็นผู้ทูลเกล้า เพราะเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าลงมา ผู้นั้นคือผู้ที่ต้องลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งโดยหลักทั่วไปแล้วผู้ทูลเกล้าคือนายกรัฐมนตรี เว้นแต่ในเรื่องใดรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่าผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเป็นคนอื่น ทั้งนี้ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 182 ซึ่งกำหนดไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญทุกฉบับก่อนหน้านี้ คือ “บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ” ดังนั้นแม้ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งจะถูกประท้วง แต่คนรับผิดชอบคือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เราก็ต้องไปโทษ ส.ส. และ ส.ว. โดย ส.ว.ก็ต้องโทษคนเลือก ส.ว. คือ พล.อ.ประยุทธ์ ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระทั้งหลายมาจากความเห็นชอบของวุฒิสภา และก่อนหน้านี้มาจาก สนช. ซึ่ง สนช.ก็มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ หากเราไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่พอใจการใช้อำนาจขององค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น กกต. หรือ ปปช. เราไม่อาจไปโทษพระมหากษัตริย์ผู้ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้ง แต่ต้องโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นคนเลือก สนช. และ ส.ว. ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกหน้า ไม่ใช่อยู่ข้างหลัง และทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และระหว่างประชาชนที่เห็นต่างกันดังที่เกิดขึ้นในขณะนี้




3.เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร นายกรัฐมนตรีก่อนหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในปี 2549 ที่เป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากการเลือกตั้งจำนวน 5 คน ล้วนแต่เคยถูกประชาชนชุมนุมต่อต้านมาทั้งสิ้น แต่ไม่เคยมีคราวใดที่เรื่องราวจะลุกลามไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังเช่นในครั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าสาเหตุหลักมาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช. และความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหลัก The King Can Do No Wrong ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ในตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ มีสถานะเป็นคนกลางเข้ามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง แต่สถานะคนกลางก็หมดไปเมื่อ พล.อ.เประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหลังจากเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ด้วยกลไกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากตนเองเลือก ที่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฏร และมีอำนาจในการให้ความเห็นชอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มาจาก สนช. ซึ่งก็มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ ว่าง่ายๆ องค์กรอิสระ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับการแต่งตั้งหลังจากการยึดอำนาจในปี 2557 ที่มีอำนาจหน้าที่ในปัจจุบัน มีที่มาที่ยึดโยงกับ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งสิ้น


หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหลังเลือกตั้ง หรือ ส.ว.ที่ คสช.เลือก ไม่มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็จะไม่มีการประท้วงแบบนี้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และถ้าจะมีการประท้วงก็จะเป็นการประท้วงนายกรัฐมนตรีคนอื่นที่มาจากการเลือกตั้ง และจะไม่มีการเชื่อมโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ การเริ่มต้นเชื่อมโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และเกิดความเข้าใจว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผู้เขียนเห็นว่ามาจากเหตุที่สำคัญที่สุด คือ การยุบพรรคไทยรักษาชาติ การยุบพรรคอนาคตใหม่ คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดีนายกรัฐมนตรี อ่านคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ และพฤติกรรมของ พล.อ.ประยุทธ์ เอง การยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยศาลรัฐธรรมนูญ เกิดขึ้นหลังจากที่มีประกาศสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ทำให้เกิดการเริ่มต้นการเชื่อมโยง และจุดที่เป็นชนวนของการประท้วงซึ่งเริ่มจากการประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ก่อน คือ การยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยเหตุที่ประเทศไทยไม่มีการเลือกตั้งมาถึง 8 ปี การเลือกตั้งในปี 2562 จึงมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกมากกว่าปกติถึงสองเท่า โดยมีตั้งแต่อายุ 18 ปีไปจนถึง 26 ปีซึ่งส่วนใหญ่เลือกพรรคอนาคตใหม่ และเนื่องจากพรรคเพื่อไทย เว้นเขตเลือกตั้งไว้ 100 เขตให้พรรคไทยรักษาชาติ พอพรรคไทยรักษาชาติ ถูกยุบใน 100 เขตนั้น ผู้เลือกตั้งที่เคยจะเลือกพรรคไทยรักษาชาติ หรือจะเลือกพรรคเพื่อไทย จึงเปลี่ยนมาเลือกพรรคอนาคตใหม่ และทำให้พรรคอนาคตใหม่มี ส.ส.ได้รับเลือกตั้งถึง 80 คน โดยเป็น ส.ส.ใหม่ทั้งหมด ซึ่งไม่เคยเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย


พอพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ แล้วก็ด้วยเหตุผลที่เห็นกันว่าฟังไม่ขึ้น และไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงถึงขนาดต้องยุบพรรค ทำให้ผู้เลือกพรรคนี้ออกมาชุมนุม และเนื่องจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ เกิดขึ้นหลังจากที่พรรคไม่ให้ความเห็นชอบพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังกำลังพลไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ฯ ยิ่งทำให้เกิดการเชื่อมโยงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีคำวินิจฉัยอื่นของศาลรัฐธรรมนูญอีกที่ทำให้เกิดความเข้าใจเช่นนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ คดี พล.อ.ประยุทธ์ อ่านคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องอ่านคำถวายสัตย์ปฏิญาณให้ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นเรื่องระหว่างพระมหากษัตริย์กับนายกรัฐมนตรี ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจในทางที่ว่า พระมหากษัตริย์ทรงมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยผ่าน พล.อ.ประยุทธ์ มากขึ้นไปอีก และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มักจะอ้างถึงพระมหากษัตริย์ในการทำอะไรหรือไม่ทำอะไรอยู่บ่อยครั้ง จากต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ เรื่องก็เลยลุกลามไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และกลายเป็นประเด็นปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในขณะนี้


4.หนทางแก้ไขยังมีอยู่หรือไม่ (1) การเมืองมีผิดมีถูก การตัดสินใจทางการเมืองมีทั้งประชาชนชอบและไม่ชอบ การแก้ปัญหาคือต้องยึดมั่นในหลัก The King Can Do No Wrong ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่มีหลักการ คือ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่เหนือการเมือง ในทางปฏิบัติ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องออกหน้ามารับผิดชอบในปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และต้องดำเนินการตามมาตรา 182 อย่างเคร่งครัด คือ "บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ (2) สาเหตุของการประท้วงมาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช. พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหยุดการสืบทอดอำนาจ และแสดงให้เห็นว่าจะไม่สืบทอดอำนาจอีกต่อไป ด้วยการยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญตัดอำนาจ ส.ว.ไม่ให้เลือกนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป แม้ว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้จะตกไป แต่ควรที่จะได้มีการเสนอใหม่อีกครั้งโดยเร็ว ซึ่งจะแก้ปัญหาที่เป็นสาเหตุไปได้กว่าครึ่ง


(3) รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มีคนต่อต้านมากที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมา การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับจึงเป็นทางออกในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และทั้งนี้เนื่องจากรัฐสภาไม่รับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้มี สสร.ที่มาจากการเข้าชื่อของประชาชน ดังนั้นในวาระแปรญัตติของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐบาลและฝ่ายค้านจึงต้องรับฟังเสียงของประชาชนให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่มาของ สสร. (4) ประเด็นเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้เกิดความเห็นต่างและนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประชาชน การนำเสนอเรื่องนี้จึงต้องทำด้วยวิธีการที่เหมาะสม และทุกฝ่ายต้องเคารพความคิดเห็นของกันและกัน ไม่สร้างความเกลียดชังหรือแตกแยกในสังคมให้มากไปกว่าเดิม นายกรัฐมนตรีที่ถูกประท้วงก่อนหน้านี้ พอผู้ประท้วงเห็นว่าประท้วงไม่ได้ผลก็มักจะมีการถวายฎีกาให้พระมหากษัตริย์ทรงมาก้าวก่ายทางรเมือง เช่น การถวายฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานในช่วงเวลาที่มีการประท้วงทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2557 แต่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกประท้วงแล้ว คนกลับประท้วงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เราคงพอจะสรุปได้แล้วว่าเราควรจะแก้ปัญหาที่ตรงจุดใด และเราก็ควรแก้ไปที่จุดนั้น สาเหตุของปัญหาเกิดจาก พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งในเรื่องการเมืองที่สืบทอดอำนาจ และเรื่องการไม่ยึดมั่นในหลัก The King Can Do No Wrong หาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่แก้ไข แล้วยิ่งอยู่นานไปยิ่งเป็นปัญหา เราก็คงต้องไปแก้ที่ พล.อ.ประยุทธ์